นายธนะชัย สันติชัยกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กร๊ป (NMG) คาดว่า ปี 50 บริษัทจะสามารถพลิกมีกำไร จากปีก่อนที่ขาดทุน 154 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างตัดขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก(non core)ให้ได้ภายในปีนี้ ซึ่งได้แก่ อาคาร และที่ดิน รวมมูลค่า 1.6 พันล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการต่อรองราคา หากสามารถขายได้ก็จะทำให้บริษัทมีกำไร
ประกอบกับ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากครึ่งปีแรกที่ขาดทุน 4-5 ล้านบาทจากการฟื้นตัวของธุรกิจโฆษณา หลังจากการเมืองมีความชัดเจน และการปรับโฉมรูปเล่มใหม่ของหนังสือพิมพ์"กรุงเทพธุรกิจ"ที่จะปรับลดขนาดด้านข้างลงมา 10% ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนได้ โดยจะเริ่มในเดือนต.ค.นี้
"มองว่าเราจะสามารถเจรจาการขาย non core โดยเฉพาะตึกได้ในปีนี้ โดยที่ผ่านมาได้มีการเจรจาอยู่หลายราย อาจมี discountบ้าง บางส่วนบริษัทได้ออกไป ตอนนี้ขอซื้อกลับเพื่อเราจะได้ขายยกทั้งตึก(อาคารเนชั่นทาวเวอร์)"นายธนะชัย กล่าว
สำหรับเงินที่ได้จากการขาย non core บริษัทจะนำไปคืนหนี้เจ้าหนี้สถาบันการเงินที่มีหนี้อยู่ทั้งหมด 1.87 พันล้านบาท
ณ สิ้นไตรมาส 2/50 บริษัทมีหนี้สินทั้งหมด 3 พันล้านบาท หากขาย non core ได้จำนวน 1.6 พันล้านบาท ก็จะเหลือหนี้ประมาณ 1.4 พันล้านบาท ก็จะทำให้บริษัทไม่กังวลกับหนี้ที่เหลือมาก เพราะสามารถทยอยชำระได้
นายธนะชัย มองว่า แนวโน้มต้นทุนกระดาษในครึ่งปีหลังจะทรงตัว แม้ปลายปีนี้จะมีการเลือกตั้ง แต่กำลังการผลิตของโรงพิมพ์แต่ละแห่งยังมีเหลืออยู่มาก รวมทั้งโรงงานใหม่ในจีนก็มีมากทำให้มีซัพพลายสูง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประเมินว่าไตรมาส 4 ปีนี้ถึงต้นปีหน้าราคาต้นทุนกระดาษน่าจะปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนธุรกิจบรอดแบนด์ ได้แก่ การส่ง SMS ข่าวผ่านทางมือถือ เป็นต้น จะเป็นตัวเพิ่มรายได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 1-2% จากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายหนังสือพิมพ์ประมาณ 80% และจากทีวีประมาณ 20% และเชื่อว่ายังคงสัดส่วนโครงสร้างรายได้ดังกล่าวไปถึงปีหน้า
ในส่วนธุรกิจทีวี บริษัทจะออกรายการใหม่ ชื่อ"กุสุมาพาฑูตเที่ยวไทย" จะออกอากาศผ่านช่อง 5 ทุกวันอังคาร เวลา 14.35 - 15.00 น. และอีกหนึ่งรายการเป็นการร่วมการผลิตกับช่องอื่น
NMG มีหนังสือพิมพ์ ได้แก่ คมชัดลึก , กรุงเทพธุรกิจ, The Nation , กรุงเทพ บิสวีค, เนชั่นสุดสัปดาห์ เป็นต้น โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึกได้ปรับราคาจาก 8 บาทเป็น 10 บาทเมื่อ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ยอดขายไม่ได้ตกลง และยังมีรายได้โฆษณาเข้ามามากโดยเฉพาะจากจตุคาม
นายธนะชัย ยังคาดว่า ในปี 51 บริษัทจะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มจำนวน 600 ล้านบาทจากการเข้าร่วมทุนกับญี่ปุ่น และบริษัทยังได้ประโยชน์จากการรับจ้างพิมพ์จากลูกค้าญี่ปุ่นด้วย
ส่วนการขายหุ้นออกไปของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจนั้นมีไม่มาก และปัจจุบันก็ยังคงถือหุ้นใหญ่อยู่
ทั้งนี้ เมื่อ 2 เม.ย.50 NMG รายงานว่า นางสมพร ถือหุ้นอยู่ 16.13% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง ซึ่งลดลงเล็กน้อย จากเมื่อวันที่ 4 เม.ย.49 ที่ถือหุ้น 16.24%
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--