นางวรสินี เศรษฐบุตร หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปีนี้น่าจะไปไหนได้ไม่ไกลหรือไม่เกิน 1,400 จุด เนื่องจาก Valuation เริ่มแพงเมื่อเทียบกับอดีต และพื้นฐานยังไม่ดี เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังต้องพึ่งพาภาคท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งยังไม่ฟื้นตัวขึ้น โดยแนะนำหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์, อาหารและเครื่องดื่ม, พลังงานและสาธารณูปโภค
ขณะที่เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะไม่มากหากเทียบกับครึ่งปีแรกที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า คิดเป็นการเติบโต 35% เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่ส่วนมากจะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนก่อนถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.63, ความยืดเยื้อของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่จะส่งผลกระทบในเชิงจิตวิทยาและเศรษฐกิจ แต่การลงทุนในหุ้นยังมีความน่าสนใจ จากการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ทำให้มองว่าตลาดหุ้นน่าจะยังได้รับประโยชน์ได้ค่อนข้างดี
ดังนั้น การลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 63 ยังคงแนะนำให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นเป็นหลัก หรือประมาณ 60-70% ของพอร์ตรวม (สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง) โดยกระจายการลงทุนไปทั่วโลก และเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตดีภายใต้ธีม Mega Trend ซึ่ง TISCO Wealth มองว่ายังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว เช่น ธุรกิจเฮลธ์แคร์ จากสังคมผู้สูงอายุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้, ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อย่างในสหรัฐฯ ที่มีรายได้จากค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลเติบโตถึง 800%
และกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้คนก้าวสู่พฤติกรรมรูปแบบ(New normal) อย่าง การศึกษาออนไลน์ ชอปปิ้งออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนให้การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมีความจำเป็นมากขึ้นและเติบโตได้ในระยะยาว
อีกปัจจัยหนึ่งของการลงทุน คือ ผู้ลงทุนควรเลือกลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนที่เก่ง และเฟ้นหาหุ้นที่มีการเจริญเติบโตในระยะยาว โดย TISCO Wealth แนะนำ 4 กองทุนที่ถือว่าเป็น Best in Class ได้แก่ 1. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอลดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ (TGHDIGI) โดยจะลงทุนในกลุ่ม Digital Health ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว ผ่านกองทุนที่มีผลตอบแทนโดดเด่นระดับโลก "CS (LUX) Global Digital Health Equity Fund" ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงในระยะยาว จากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมา และคาดว่าจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนในอนาคต อย่างไรก็ตามกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารทุน หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนและใบแสดงสิทธิต่างๆ ที่ออกโดยบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลก
2.กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ (TSF) ที่ลงทุนในหุ้นเติบโตที่มีพื้นฐานดี มีศักยภาพในการเติบโตโดยเลือกเน้นลงทุนเพียง 10-15 ตัว มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
3.กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล อีคอมเมิร์ซ (ONE-GECOM: ONE GLOBAL E-COMMERCE FUND) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารแห่งทุน และกองทุนรวม ETF ทั่วโลก ในกิจการที่มีรายได้หรือได้รับประโยชน์จากช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยเน้นลงทุนเพื่อมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) โดยปัจจุบันเน้นลงทุนใน Amplify Online Retail ETF ประมาณ 70% และอีก 30% คัดเลือกหุ้นรายตัวโดยคัดเลือกจาก Amplify Online Retail ETF ที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น เช่น Amazon, Alibaba, Netflix และในกิจการอื่นๆ ที่มีรายได้และได้รับประโยชน์จากช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์ เช่น Paypal รวมถึงในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
4.กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมทโกลบอล โกรว์ธ (ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป) (ONE-UGG-RA: ONE Ultimate Global Growth Fund-RA) ลงทุนในกองทุนหลัก Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (LTGG) มีกระบวนการวิเคราะห์หุ้นลักษณะ Bottom up โดยลงทุนระยะยาวในบริษัททั่วโลกที่มีศักยภาพในการเติบโตโดดเด่นและมีความได้เปรียบในการแข่งขัน