หุ้น SICT ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 4.14 บาท เพิ่มขึ้น 2.76 บาท (+200%) จากราคาขาย IPO ที่ 1.38 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 153.59 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 4.14 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.14 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 4.14 บาท
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินราคาเป้าหมายปี 64 ของบมจ.ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี (SICT) ไว้ที่ 2.00 บาท คาดกำไรปี 2563 เติบโต 33.8% และเติบโตต่อเนื่องในปี 2564 คาดการณ์ยอดคำสั่งที่รับรู้รายได้ในปี 2563 แน่นอนแล้ว 225.5 ล้านบาท ช่วงที่เหลือของปีคาดจะมีคำสั่งเข้ามาอีกทั้ง ไมโครชิพสำหรับระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ ตามจำนวนรถยนต์เก่าที่เพิ่มขึ้นในแถบยุโรป และไมโครชิพแท็กลงทะเบียนสัตว์เพิ่มตามจำนวนแกะและวัวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในออสเตรเลีย ซึ่งคาดหนุนกำไรให้เติบโตในปี 2563 และปี 2564
กำไรไตรมาส 1/63 เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY จากยอดขายเติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น โดยยอดขายงวดไตรมาส 1/63 กลับมาเติบโต 10.6% QoQ และ 30.7% YoY โดยยอดขายผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดเพิ่มขึ้น YoY เพียงเล็กน้อย ยกเว้นยอดขายไมโครชิพสำหรับระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตถึง 138% YoY จากผลบวกทั้งค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาอ่อนค่าและความกังวลเรื่องสงครามการค้าจีนและสหรัฐเริ่มคลี่คลาย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นงวดไตรมาส 1/63 ขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48.6% จากผลบวกไม่มีการตั้งสินค้าด้อยค่าในงวดไตรมาส 1/63 และต้นทุนที่ลดลงตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง เป็นผลให้กำไรงวดไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 15.7 ล้านบาท เพิ่ม 154% QoQ และ 553% YoY
SICT เป็นผู้ส่งออกไมโครชิพระบบ RFID รายเดียวของไทย ประกอบธุรกิจวิจัยและพัฒนาเพื่อออกแบบและส่งมอบวงจรรวม (Integrated Circuit Design: IC) หรือไมโครชิพ (microchip) โดยการว่าจ้างผลิตแล้วนำกลับมาที่บริษัทเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า "SIC" ของบริษัท โดยไมโครชิพที่ได้รับการออกแบบและจำหน่ายจากบริษัทนั้นนับเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์ระบบ RFID (Radio Frequency Identification: RFID) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการระบุข้อมูลต่างๆของวัตถุหรือสัตว์ขึ้นทะเบียนด้วยคลื่นความถี่วิทยุที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เช่น บัตรผ่านเข้าออกสถานที่ต่างๆ, กุญแจรถยนต์, ป้ายหรือแคปซูลขนาดเล็กที่ติดหรือฉีดฝังในตัวสัตว์เพื่อบันทึกประวัติหรือ ป้ายติดบนบรรจุภัณฑ์เพื่อบันทึกข้อมูลการรับและส่งสินค้า
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะมีคู่แข่งทั่วโลกเพียง 8 ราย บริษัทนับเป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวในไทยที่มีการรับผลิตและออกแบบไมโครชิพเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ไม่มีคู่แข่งโดยตรงในประเทศไทย คู่แข่งต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจและจำหน่ายสินค้าใกล้เคียงกับริษัทมีเพียง 8 ราย ใน 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา 1 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย สวิสเซอร์แลนด์ 2 ราย ฝรั่งเศส 1 ราย สาธารณรัฐประชาชนจีน 3 ราย โดยรายได้หลักมาจากส่งออกไมโครชิพเข้ารหัสความปลอดภัยสำหรับระบบกุญแจรถยนต์ ไมโครชิพสำหรับระบบเข้า-ออกสถานที่และระบบการอ่านข้อมูล รวมถึงไมโครชิพแท็กลงทะเบียนสัตว์ด้วยระบบ RFID ซึ่งออสเตรเลียบังคับใช้กับวัวและแกะ จึงยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง แม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว