นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงิน บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า บริษัทจะผลักดันรายได้ในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 1 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะเดินหน้าโอนโครงการต่อเนื่องราว 7-8 พันล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ 1.5 หมื่นล้านบาท
สำหรับคอนโดมิเนียม 3 โครงการที่สร้างเสร็จเตรียมโอนในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ โครงการ BE19 ซึ่งมียอดขายแล้ว 70% เตรียมโอนในช่วงไตรมาส 3/63 และอีก 2 โครงการ คือ โครงการ AROUND สุขุมวิท 33 และโครงการ AMBIENCE สุขุมวิท 42 ที่จะโอนในช่วงไตรมาส 4/63 มียอดขายเฉลี่ย 80% ที่จะเข้ามาเสริมรายได้ให้กับบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะเดียวกัน บริษัทยังทยอยระบายสต็อกของคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งมีสต็อกเหลือขายอยู่ที่ 3 พันล้านบาท โดยการทำโปรโมชั่นขายในราคาพิเศษราคาเดียวให้กับลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อทำให้สามารถระบายสต็อกออกไปได้เร็วมากขึ้น ทำให้บริษัทมีรายได้และมีกระแสเงินสดเข้ามาเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจหรือการลงทุนโครงการอื่นๆ
นายอรรถวิทย์ กล่าวว่า ภาพรวมของการโอนโครงการเริ่มกลับมาดีขึ้นหลังจากผ่อนคลายล็อกดาวน์ และสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย ทำให้การดำเนินธุรกรรมต่างๆ ทยอยกลับเข้าสู่ปกติ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าชาวไทย และมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ต่ำไม่ถึง 10% แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นมาจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 5% แต่ลูกค้าของ NOBLE ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงและมีกำลังซื้อสูง เนื่องจากระดับราคาคอนโดมิเนียมที่ขายอยู่ในระดับกลาง-บนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไม่มีปัญหาการขอสินเชื่อและไม่กระทบการโอน
ส่วนลูกค้าชาวต่างชาติอาจจะยังมีปัญหาในเรื่องการเดินทางเข้ามาโอนไม่ได้ แต่บริษัทได้อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าต่างชาติที่มีผู้แทนในประเทศไทยสามารถโอนแทนได้ ทำให้คาดว่าในปี 63 จะมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าชาวต่างชาติราว 20-25% ของเป้าหมายรายได้ที่ 1 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้บริษัทเลื่อนแผนการขายโครงการ NOBLE Remix มูลค่า 1.1 พันล้านบาท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ออกไปเป็นปี 64 เนื่องจากกอง REIT ก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย จึงยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะขยายสินทรัพย์
นายอรรถวิทย์ กล่าวอีกว่า บริษัทยอมรับว่ายอดขายในปีนี้อาจจะพลาดเป้าที่ตั้งไว้ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยอาจทำได้ราว 8 พันล้านบาท หากแผนการเปิดโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรฮ่องกงแลนด์บนที่ดินถนนวิทยุใกล้กับ BDMS Wellness ต้องเลื่อนไปเป็นปี 64 จากเผนเดิมวางไว้ปลายปี 63 ขณะที่ช่วงครึ่งปีแรกบริษัททำยอดขายได้แล้ว 4-5 พันล้านบาท จากการขายโครงการในสต็อก และ Noble Above ซอยร่วมฤดี
ช่วงครึ่งปีหลังยอดขายส่วนใหญ่จะมาจากการเปิดตัวโครงการแบรนด์ NUE เจาะกลุ่มระดับกลางในราคาจับต้องได้ง่ายขึ้น และเป็นสินค้าที่มีสต็อกเหลือน้อยมาก ระดับราคาขายเฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 2-3 ล้านบาท/ยูนิต เพื่อเติมเต็มช่องว่างทางการตลาดของบริษัทในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการพักอาศัยใกล้กับเมืองและใกล้รถไฟฟ้า โดยไตรมาส 3/63 ได้เปิดขาย 3 โครงการ มูลค่ารวม 5 พันล้านบาท ได้แก่ NUE NOBLE งามวงศ์วาน มูลค่า 1.8 พันล้านบาท กวาดยอดขายแล้วกว่า 50% ภายใน 3 สัปดาห์จากเปิดตัวต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
พร้อมกับเปิดตัว NUE NOBLE รัชดา-ลาดพร้าว มูลค่า 2 พันล้านบาท ร่วมทุนกับ บมจ.ยู ซิตี้ (U) ปลายเดือน ก.ค.สร้างยอดขายสัปดาห์แรก 300 ล้านบาท ตั้งเป้ามียอดขาย 3 สัปดาห์ 800 ล้านบาท และในกลางเดือน ส.ค.นี้ จะเปิดตัว NUE NOBLE สี่แยกไฟฉาย-วังหลัง มูลค่า 1.2 พันล้านบาท คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี
"เราเชื่อมั่นว่าทั้ง 3 โครงการใหม่จากแบรนด์ NUE จะสามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพติดรถไฟฟ้า ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการลงทุน ในราคาที่คุ้มค่า บนทำเลที่สามารถซื้อลงทุนปล่อยเช่าได้ และขายต่อได้ราคาดี"นายอรรถวิทย์ กล่าว
ด้านนายอรัฐ เศวตะทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ NOBLE กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นไป บริษัทจะผลักดันการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ NUE มากขึ้น โดยตั้งเป้าเปิดโครงการในสัดส่วน 50% ของเปิดโครงการใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นไป จากกระแสการตอบรับที่ดีของ 4 โครงการที่เปิดไปแล้ว และมีที่ดินรองรับการพัฒนาในปีหน้าแล้ว 4 แปลง โดยหวังว่าจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท โดยที่บริษัทเปิดตัวแบรนด์ NUE ตั้งแต่ปี 61 คือ NUE Noble แจ้งวัฒนะ และ NUE Noble ศรีนครินทร์ ซึ่งมียอดขายแล้ว 70%
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงไม่ทิ้งการพัฒนาคอนโดระดับ High-end ที่มีความเชี่ยวชาญ แต่เนื่องจากภาวะตลาดของกลุ่มนี้ชะลอตัวลงไปมากจากโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการหลายธุรกิจได้รับผลกระทบ และลูกค้าชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อได้ บริษัทจึงชะลอการพัฒนาโครงการระดับ High-end ออกไปก่อน แต่หากตลาดกลับมาดีก็พร้อมที่จะกลับมาพัฒนา
และในช่วงไตรมาส 4/63 จะเปิดอีก 1 โครงการคอนโดมิเนียมระดับบนราคาขายราว 200,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่า 5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่เพิ่มขึ้นในช่วงที่บริษัทคาดว่าตลาด High-end จะเริ่มฟื้นกลับมา ส่วนโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ยังอยู่ระหว่างการพูดคุยรูปแบบโครงการร่วมกัน ยังไม่แน่นอนว่าจะเปิดปลายปีนี้หรือต้นปี 64
นอกจากนี้ บริษัทยังมองไปถึงการพัฒนาธุรกิจการรับบริหารนิติบุคคลอาคารชุด หลังจากพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากหลายโครงการประสบความสำเร็จ และเริ่มเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจดังกล่าวขึ้นมาเพื่อทำให้คอนโดมิเนียมที่บริษัทพัฒนามีประสิทธิภาพการบริการลูกค้าที่ซื้อโครงการไปได้ดีที่สุดตามคุณภาพมาตรฐานของบริษัท ซึ่งเป็นแผนงานในอนาคตที่บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้ามาต่อยอดจากธุรกิจหลักของบริษัท