นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยในงานสัมมนา "Thailand's Investment Landscape Post Covid-19" ในหัวข้อ "Investment Strategy Post Covid-19 ลงทุนบนระเบียบโลกใหม่" ว่า ปัจจัยลบในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มองว่านักลงทุนได้มีการตอบรับปัจจัยลบดังกล่าวไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยคาดการณ์ว่าตัวเลขในไตรมาส 2/63 ที่จะออกมาน่าจะเป็นจุดต่ำสุด เช่น การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ทางเอเซีย พลัส คาดว่าจะติดลบ 15% ซึ่งทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ จะประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2/63 ในวันที่ 17 ส.ค.นี้ หากเป็นไปตามคาดการณ์จะทำให้เกิด downside
ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ในภาวะปกติการทำกำไรรายไตรมาสจะไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/63 ออกมาทำกำไรได้ 1.06 แสนล้านบาท ลดลงครึ่งหนึ่งของศักยภาพที่ควรจะทำได้ ส่วนในไตรมาส 2/63 คาดว่าดีที่สุดจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรก ทำให้ครึ่งปีแรกกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ลดลงหากเทียบกับภาวะปกติที่เคยทำได้ หรือไตรมาสละไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท และหากครึ่งปีหลัง ไตรมาส 3 และ 4 กลับมาสู่ภาวะปกติได้ จะทำให้ปีนี้กำไรบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ 6 แสนล้านบาท สะท้อน EPS ไม่ถึง 60 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ตาม หากมอง Sentiment ในไตรมาส 3/63 ช่วงกลางเดือนส.ค.นี้ น่าจะเห็นภาพ Bottom มากพอสมควร และน่าจะเริ่มเห็นพัฒนาการเชิงบวกมากขึ้นหลังจากนั้น เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินล้นระบบจากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของหลายประเทศ, อัตราดอกเบี้ยทุกประเทศก็อยู่ในระดับต่ำสุด และล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี ทำให้มีปริมาณเงินล้นระบบ ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้ไปกระจุกรวมอยู่ที่ เงินฝาก สะท้อนภาพในขณะนี้ว่านักลงทุนไม่กล้า take risk เลย
ทั้งนั้มองเทรนด์ดอกเบี้ยจากนี้ คาดว่าจะปรับลงได้อีก 1 ครั้ง และอาจจะเห็นอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำนี้ไปอีกทั้งปี ฉะนั้นหากนักลงทุนไม่กล้ารับความเสี่ยง และเอาเงินไปไว้ในเงินฝาก ถ้าไม่เห็นปัจจัยบวกอย่างแท้จริง คนก็ยังไม่กล้าทำอะไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามเห็นแล้วว่าจุดต่ำสุดแล้ว เชื่อว่าการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้
"ตลาดมีการสะท้อนภาพปัจจัยลบไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังไม่หมด โดยคาดว่าจะเห็นการสะท้อนภาพ Bottom เต็มที่หลังจากผ่านครึ่งเดือนส.ค. ที่จะมีการประกาศทั้ง GDP และผลประกอบการไตรมาส 2/63 หลังจากนั้นเชื่อว่าจะเห็นเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น และมองว่าในไตรมาส 4/63 จะเห็นภาพในเชิงบวกมากขึ้นอย่างชัดเจน จากพัฒนาการเรื่องของวัคซีน"นายเทิดศักดิ์ กล่าว
สำหรับธีมการลงทุนในครึ่งปีหลังนี้ ทางบล.เอเซีย พลัส แนะนำหุ้นที่มีการเติบโต หรือเห็นการพลิกกลับในครึ่งหลังนี้ และหุ้นที่จ่ายปันผลดี เช่น AP, MCS, INTUCH, BEM ขณะที่ให้กระจายการลงทุนไปทั่วโลก แบ่งเป็น ลงทุนในหุ้นไทย 30%, หุ้นต่างประเทศ 15%, กองทุนตราสารหนี้ 25% และการลงทุนทางเลือกอื่นๆ 15% ส่วนอีก 15% พักเงินไว้
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ คือหุ้นที่อยู่นอก SET50 แต่ยังอยู่ใน SET100 หรืออยู่นอก SET100 ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก เห็นได้จากผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (year to date return) กลุ่มหุ้นที่อยู่ใน SET50 ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด หรือติดลบ 18%, SET INDEX ติดลบ 15% ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กติดลบเพียง 5% หากผลประกอบการในไตรมาส 2/63 ออกมาไม่ดี ประเด็นที่หุ้นกลางและหุ้นเล็กมีการไล่ราคากันขึ้นไป ก็อาจเป็นอันตราย ซึ่งแรงขับเคลื่อนที่จะทำให้หุ้นดังกล่าวปรับตัวขึ้นไปนั้น มีอยู่ 2 ส่วน คือ ความคาดหวังกำไร และภาพของราคาที่ดูดี
ส่วนในเดือนส.ค.นี้ ที่จะมีการประกาศ GDP ไตรมาส 2/63 หากปรับตัวลดลงกว่าตลาดคาดที่ติดลบ 12% หรือติดลบต่ำกว่า 15% มองว่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่น่ากลัวรออยู่ ขณะที่ในต่างประเทศ ยังมีตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังไม่เปิดเผย รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยสิ่งที่น่าจับตาดูในเดือนนี้ก็คือ จุดเปลี่ยนที่เป็นตัวผลักดันสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ในเดือนก.ค.ที่อาจจะมีการกลับข้าง โดยในเดือนที่ผ่านมาสิ่งที่เห็น ได้แก่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลง ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
แนะลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ ท่องเที่ยว สนามบิน หลังประกาศงบการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 ไปแล้ว และลงทุนหุ้นต่างประเทศ โดยเน้นตลาดหุ้นจีน, สินค้าโภคภัณฑ์
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เซ็กซี่แล้ว และมีหุ้นอยู่ไม่กี่ตัวที่น่าลงทุน โดยนักลงทุนสถาบันอยู่ระหว่างมองว่าปัจจัยใดที่จะเป็นตัวผลักดันดัชนีหุ้นไทยให้ไปต่อได้ ซึ่งหากแนะนำการลงทุนจะต้องหาหุ้นที่มีการเติบโตดีในครึ่งปีหลัง เช่น การบริโภค สื่อสาร โรงพยาบาล เป็นต้น ขณะที่หุ้นท่องเที่ยว ค้าปลีก น่าจะกลับมาได้ช้า