หุ้น TTCL ราคาชนซีลลิ่ง 14.39% มาอยู่ที่ 3.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 48.49 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.15 น. โดยเปิดตลาดที่ 2.78 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 3.18 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 2.78 บาท
วานนี้ นายฮิโรโนบุ อิริยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีทีซีแอล (TTCL) เปิดเผยว่า บริษัทร่วมกับ SOJITZ CORPORATION ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เข้าประมูลโครงการโรงงานปุ๋ยในประเทศเติร์กเมนิสถาน มูลค่างานราว 250 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 3/63 ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถคว้างานมาได้
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโรงไฟฟ้า Ahlone เฟส 2 ในเมียนมา กำลังผลิต 388 เมกะวัตต์ มูลค่าการ 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ระหว่างรอสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จากกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมา คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 4/66 โดยที่บริษัทตั้งเป้าภายในปี 68 จะมีกำไรขั้นต้นจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้ามาราว 2 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ภาพรวมการประมูลงานใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีงานที่เข้าประมูลกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทคาดหวังจะได้รับงานราว 30% ของมูลค่างานทั้งหมด โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้งานมาแล้ว 2 โครงการ มูลค่าราว 2 พันล้านบาท ทำให้งานในมือ (Backlog) เพิ่มเป็นเกือบ 1 หมื่นล้านบาท
แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดความล่าช้าของงานประมูลใหม่ต้องเลื่อนออกไปทำให้การรับงานใหม่ยังเกิดความล่าช้า ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่เอื้ออำนวย และทิศทางราคาน้ำมันที่ผันผวน ทำให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทชะลอการลงทุน ซึ่งมีงานบางโครงการต้องชะลอออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม การรับงานรับเหมาก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะปรับแผนจากการรับงานใหม่มาเน้นงานที่ต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่เคยรับงานมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสที่บริษัทจะได้รับงานค่อนข้างสูง เพราะลูกค้ามีความเชื่อมั่นในการทำงานของบริษัท และสามารถเข้ามาทดแทนงานใหม่ที่มาจากงานโครงการประมูลที่เลื่อนแผนออกไป
ขณะที่ในส่วนข้อผิดพลาดของการทำงานของบริษัทในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่บริษัทได้เร่งทำงานให้เสร็จทันส่งมอบมากจนเกินไป ทำให้เกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิคเกิดขึ้น ทำให้บริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหายส่งผลให้มีผลขาดทุนในช่วงปี 61-62 บริษัทจึงหันมาปรับปรุงการทำงานเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอีกครั้ง
นายอิริยา กล่าวอีกว่า ภาพรวมของรายได้ในปี 63 จะเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.16 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการรับรู้รายได้จาก Backlog เข้ามากว่า 5 พันล้านบาท และยังมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในไทยและเมียนมาเข้าผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้น และมั่นใจว่าผลการดำเนินงานทั้งปีจะพลิกกลับมามีกำไรหลังจากขาดทุนติดต่อกันในปี 61 และ 62
ทั้งนี้ ในปี 63 บริษัทจะมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลงมาเป็น 830 ล้านบาท หลังจากปี 62 ตั้งสำรองไป 1.45 พันล้านบาท โดยสำรองที่ลดลงเพราะมีเพียงโครงการรับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้า 2 โครงการในไทยที่เกิดปัญหา ซึ่งน้อยกว่าปี 62 ที่มีการตั้งสำรองในโรงไฟฟ้าที่บริษัทรับงานมา 3 โครงการ
ส่วนความคืบหน้าข้อพิพาทกรณีเหมืองเกลือ (Rock Salt Project) ใน สปป.ลาว ซึ่งบริษัทได้ฟ้องร้องคู่กรณีที่เป็นเจ้าของโครงการต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการประเทศเวียดนาม โดยคณะอนุญาโตตุลาการนัดหมายให้บริษัทและคู่กรณีมารับฟังคำไต่สวนครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 21-24 ก.ย. 63 ซึ่งบริษัทค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถชนะคดีได้
โดยงานดังกล่าวมีมูลค่า 110 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ขอความคุ้มครองชั่วคราวจากศาลเพื่อไม่ให้คู่กรณีซึ่งเป็นเจ้าของโครงการจำหน่ายจ่ายโอนหรือโยกย้ายสินทรัพย์ในโครงการออกไป และห้ามไม่ให้คู่กรณีโยกย้ายหรือโอนเงินในบัญชี โดยหากผลการตัดสินออกมาบริษัทชนะตามที่คาดไว้ กระบวนการบังคับคดีและการได้รับเงินชดเชยจะใช้ระยะเวลา 6 เดือน-1 ปี หลังจากคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ
อนึ่ง TTCL ได้รับผลกระทบจากลูกหนี้การค้าที่ค้างชำระเงินเป็นจำนวนมากจากโครงการเหมืองเกลือ (Rock Salt Project) จนเป็นเหตุให้บริษัทต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวนมากถึงประมาณ 1.3 พันล้านบาทในปี 61