นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือปีของกลุ่มบริษัทคาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพมากยิ่งขึ้นตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากโครงการต่าง ๆ ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนาม 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 550 เมกะวัตต์ จะทยอย COD ภายในเดือน ธ.ค.63 จะช่วยผลักดันการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
พร้อมทั้งมั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ของบริษัทฯในปีนี้จะเติบโตประมาณ 15 -20 % มีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้ารวมทะลุ 1,200 เมกะวัตต์ได้อย่างแน่นอนภายในสิ้นปีนี้
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 63 มีรายได้รวม 3,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.45% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,197.991 ล้านบาท และงวดไตรมาส 2/63 มีรายได้รวม 1,592.726 ล้านบาท กำไรสุทธิ 148.36 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 289.36 ล้านบาท
ภาพรวมผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกมาจากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์เมื่อเดือน มิ.ย.62 ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 50 เมกะวัตต์ ซึ่งได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ให้กับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) เมื่อเดือน ธ.ค.62 เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องการโอนหุ้น
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะเพิ่มขึ้น และรายได้จากการขายน้ำประปาและน้ำดิบเพิ่มขึ้น จากการที่ SUPER ได้เข้าซื้อธุรกิจของกลุ่มธุรกิจน้ำในปี 62 สนับสนุนเพิ่ม
"ไตรมาส 2/63 รายได้บริษัทยังสามารถเติบโต โดยเฉพาะในเวียดนามเริ่มทยอยรับรู้เพิ่มขึ้น รวมทั้งจากโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งที่ผ่านมาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะ จังหวัดพิจิตร กำลังการผลิตเสนอขาย 9.9 เมกะวัตต์ CODไปในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา และจะสามารถรับรู้รายได้อย่างเต็มที่ในไตรมาส 3 ผมอยากให้เชื่อมั่นในการทำธุรกิจ เราจะสามารถฝ่ากระแสเศรษฐกิจชะลอตัวในรอบนี้ไปได้ เพราะบริษัทฯมีรายได้ที่มั่นคงต่อเนื่องตามอายุสัมปทาน ซึ่งส่วนใหญ่สัญญาณสัมปทานในมือเรา ยังมีระยะเวลาตามสัญญาอีกเฉลี่ยอยู่ที่ 20 -21 ปี " นายจอมทรัพย์ กล่าว