นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป รวมทั้งผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 2 ปี อายุ 3 ปี อายุ 5 ปี อายุ 10 ปี และอายุ 15 ปี โดยคาดว่าจะเปิดจองซื้อในระหว่างวันที่ 7-9 ก.ย.63 ผ่านสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารทหารไทย และ บล.ภัทร
โดยหุ้นกู้อายุ 3 ปี และ 5 ปี เป็นรุ่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ซึ่งบริษัทฯ ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับรุ่นอายุ 3 ปีที่ประมาณ 3.00% ต่อปี และ รุ่นอายุ 5 ปีที่ประมาณ 3.50% ต่อปี และสำหรับอัตราดอกเบี้ยรุ่นอายุ 2 ปี 10 ปี และ 15 ปี ซึ่งเสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ จะกำหนดเป็นที่แน่นอนอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ พร้อมกับมูลค่าของการออกหุ้นกู้ โดยมีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุของหุ้นกู้
วัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อนำไปชำระคืนเงินกู้เดิมและใช้ในการประกอบธุรกิจทั่วไป และ/หรือการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น และ/หรือการขยายธุรกิจ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้บริษัทฯ ในการบริหารจัดการตามแผนกลยุทธ์ เร่งเพิ่มขีดสมรรถภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ รวมทั้งรองรับโอกาสการลงทุนที่ตอบโจทย์วิถีการดำรงชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal)
บริษัทฯ มีโครงการสำคัญที่จะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ได้แก่ โครงการ ABS Powder และ โครงการ Floating Solar (โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ) นอกจากนี้ยังมีโครงการ UCF (Ultra Clean Fuel) ซึ่งเป็นโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 (Euro V) ที่ตอบโจทย์ ECO Factory ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน
หุ้นกู้ของ IRPC เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูงเช่นนี้ เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ A-(tha) จาก บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ซึ่งสะท้อนถึงความได้เปรียบในการแข่งขันในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจผลิตปิโตรเคมีแบบครบวงจร
IRPC ถือเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของธุรกิจปิโตรเคมี (Petrochemical Flagship) ของกลุ่ม บมจ.ปตท.(PTT) โดย ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 47.55% บริษัทดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีครบวงจร ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ทุกรูปแบบ การแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้ง การดำเนินธุรกิจสาธารณูปโภค ได้แก่ ท่าเรือ คลังน้ำมัน และโรงไฟฟ้า ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในประเทศ
นายนพดุล กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 63 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ได้รับผลกระทบจาก Stock Loss อย่างรุนแรงในไตรมาส 1/63 โดยการประเมินราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ประมาณ 40-45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และคาดว่าปริมาณความต้องการของตลาดจะปรับตัวดีขึ้น เป็นผลมาจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการล๊อคดาวน์ของหลายประเทศ ที่ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดำเนินการได้มากขึ้น
นอกเหนือจาก ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกเกรดที่นำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ใส่อาหาร และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกทางการแพทย์และสาธารณสุข เช่น หน้ากากอนามัย และชุดพีพีอี (PPE) ที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา