หุ้น EVER ราคาชนซีลลิ่ง 14.29% มาอยู่ที่ 0.24 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท มูลค่าซื้อขาย 4.07 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.40 น. โดยเปิดตลาดที่ 0.23 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 0.24 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 0.22 บาท
บมจ.เอเวอร์แลนด์ (EVER) และบริษัทย่อย ประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 119.05 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0306 บาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 39.86 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0103 บาท
พร้อมอธิบายว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยตามงบการเงินไตรมาส 2/63 บริษัทมีรายได้รวมสำหรับงวด 3 เดือนเท่ากับ 720.25 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 119.05 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/62 มีกำไรสุทธิจำนวน 39.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198.69%
ทั้งนี้ กำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/63 มีจำนวน 317.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.19% จากไตรมาส 2/62 ที่มีกำไรขั้นต้น 251.50 ล้าบาท โดยมีกำไรจากกิจกรรมดำเนินงานในไตรมาส 2/63 จำนวน 213.54 ล้าบาท เพิ่มขึ้น 65.89% จากไตรมาส 2/62 ที่มีกำไรจากกิจกรรมดำเนินงาน 128.72 ล้าบาท
รายได้จากการขายหรือการให้บริการในไตรมาส 2/63 จำนวน 713.85 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 2/63 ที่มีจำนวน 963.75 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจำนวน 249.90 ล้านบาท หรือลดลง 25.93% และมีรายได้อื่น จำนวน 6.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2.92 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 83.97% เมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสัญญาและเงินยึดลูกค้าเนื่องจากผิดสัญญา
ในไตรมาส 2/63 บริษัทและบริษัทย่อยมีต้นทุนขายและการให้บริการรวม 396.47 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 2/62 ที่มีจำนวน 712.25 ล้านบาท ลดลง 44.34% ซึ่งเป็นการลดลงตามสัดส่วนรายได้ที่ลดลง นอกจากนี้ในไตรมาส 2/63 บริษัทมีต้นทุนในการจัดจำหน่าย จำนวน 52.49 ล้านบาท ลดลง 23.33% เมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงในทิศทางเดียวกันกับรายได้
ในไตรมาส 2/63 บริษัทและบริษัทย่อยต้นมีทุนทางการเงิน จำนวน 63.61 ล้านบาท โดยลดลงจำนวน 12.44 ล้านบาท หรือลดลง 16.35% ซึ่งเป็นผลจากการชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน
ในไตรมาส 2/63 บริษัทขาดทุนจากการด้อยค่าซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 จำนวน 1.98 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจำนวน 1.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 100% เมื่อเทียบกับเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักๆ ค่าเผื่อการด้อยค่าของลูกหนี้ในบริษัทย่อยกลุ่มโรงพยาบาลเป็นหลัก ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ทางบัญชีเท่านั้น มิใช่ค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวเงินที่ต้องชำระ