นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายในประเทศช่วงครึ่งหลังปีนี้มีทิศทางฟื้นตัวขึ้นแม้จะยังไม่กลับมาเต็มที่ แต่เบื้องต้นประมาณการว่ายอดขายจะฟื้นมาอยู่ที่ราว 80-90% ของยอดขายระดับปกติ หลังจากที่มีการคลายล็อกดาวน์ มาตรการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่ตลาดต่างประเทศก็จะกลับมาทยอยฟื้นได้ โดยมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาหนุนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในประเทศสหรัฐได้มีการปรับเปลี่ยนจากการผลิตสินค้าเองมาเป็นการจ้างผลิต (OEM) ส่งผลให้ผลประกอบการเริ่มกลับมาเป็นบวกได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 63 นี้ ซึ่งที่ผ่านมายอดขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในประเทศสหรัฐจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ค่อนข้างมากอยู่ในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามพื้นที่หลัก ๆ ที่บริษัทจำหน่ายสินค้าอยู่นั้น มีการแพร่ระบาดไม่มากนัก ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีการเพิ่มช่องทางการขายเพิ่มเติมต่อเนื่องด้วย ทั้งนี้ บริษัทยังมีความระมัดระวังในการขนส่งสินค้ามากขึ้น เพราะสถานการณ์ปัจจุบันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ยังมีความเสี่ยงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่สอง และอุทกภัย ที่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศ ในส่วนของอัตรากำไรสุทธิปีนี้บริษัทยังคงมั่นใจที่จะรักษาให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10% จากช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ 8.2% โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีต้นทุนวัตถุดิบลดลงราว 10% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทได้เริ่มใช้วัตถุดิบที่ซื้อเข้ามาใหม่ที่มีราคาลดต่ำลง จะช่วยให้การทำกำไรปรับตัวสูงขึ้นและการใชักำลังการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นตามยอดขายที่สูงขึ้น ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตทั้งหมด 8,400 ตัน/ปี โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 55% แบ่งเป็น โรงงานนพวงศ์ ปทุมธานี 4,800 ตัน/ปี ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 57% และ โรงงานโรจนะ 3,600 ตัน/ปี ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 52% นายอิทธิพัทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ ปัจจุบันเหลืออยู่ทั้งหมด 9 สาขา ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านให้มาเป็นสินค้าเกี่ยวกับสินค้าเพื่อสุขภาพ รองรับการเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศไทยมากขึ้น ในส่วนของร้าน Hinoya Curry หรือร้านอาหารข้าวแกงกะหรี่ ซึ่งบริษัทเป็นแฟรนไชส์แบบตัวแทน (Master Franchise) จากประเทศญี่ปุ่นนั้น ตั้งแต่ช่วงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ร้านอาหารนี้ก็มีส่วนช่วยเสริมรายได้ให้กับบริษัท ดังนั้น จึงวางเป้าหมายในการขยายต่อ เพื่อที่จะมีรายได้เข้ามาทดแทนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หายไป โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะเปิดให้ครบ 30 สาขา เน้นการเปิดเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ 80% สำหรับช่วงครึ่งปีแรกรายได้ปรับตัวลดลงราว 18% โดยเป็นผลมาจากตลาดในประเทศที่ปรับตัวลดลงมาราว 39% และตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวลดลง 3% โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีนที่ปรับตัวลดลงราว 10% โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ ประกอบกับประเทศไทยใช้มาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ยอดขายแก่ผู้บริโภคในประเทศปรับตัวลดลงตามไปด้วย ในส่วนของกำไรสุทธิครึ่งปีแรกปรับตัวลดลงราว 3% โดยบริษัทยังคงเน้นการบริหารจัดการภายใน ทั้งในเรื่องของต้นทุนด้านการผลิต และตการใช้งบลงทุนด้านการตลาดที่เหมาะสมกับยอดขายในปัจจุบัน