บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ไมด้า ลิสซิ่ง (ML) ที่ระดับ "BB+" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยกเลิก "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ" ที่ให้ไว้และแทนที่ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" ปัจจุบันอันดับเครดิตของบริษัทถูกจำกัดโดยอันดับเครดิตของ บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ดังนั้น แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" ของบริษัทจึงเป็นผลมาจากแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทไมด้า แอสเซ็ท ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งต่อผลการดำเนินงานของบริษัทแม่ว่าจะยังคงได้รับแรงกดดันต่อไปอีกในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรที่มีเสถียรภาพของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากสถานะทางการตลาดของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลางและคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ฐานทุนที่แข็งแรงและระดับหนี้ที่ต่ำ
ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าระดับฐานทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่แข็งแรงมาก จากการมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงเฉลี่ย 5 ปีที่ระดับ 59.7% เทียบกับระดับ 51.9% ณ สิ้นปี 2562 ทั้งนี้ ระดับฐานทุนของบริษัทมีความแข็งแกร่งกว่าผู้ประกอบการรายอื่นและอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับคุณภาพความเสี่ยงด้านเครดิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว
ในขณะเดียวกัน ระดับการก่อหนี้ของบริษัทก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ระดับ 0.94 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจาก 1.1 เท่า ณ สิ้นปี 2561 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 3 เท่าตามเงื่อนไขในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้ ทริสเรทติ้งคาดว่าฐานทุนของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งในระยะปานกลางอันเนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การขยายสินเชื่อที่ชะลอตัวลงท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นโยบายการจ่ายเงินปันผลในระดับต่ำ และความสามารถในการทำกำไรที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องแม้จะลดลงในปีนี้ตามที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม
สถานะทางการตลาดอยู่ในระดับปานกลาง
อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากการมีสถานะทางการตลาดที่อยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ บริษัทให้สินเชื่อในตลาดเฉพาะกลุ่มซึ่งบริษัทมีโอกาสและมีความชำนาญเท่านั้นโดยเน้นไปที่ตลาดรถกระบะใช้แล้ว สินเชื่อส่วนใหญ่จะมีขนาดตั้งแต่ 50,000-300,000 บาทต่อสัญญา สินเชื่อคงค้างของบริษัทมีจำนวน 3.4 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 โดยสินเชื่อรวมของบริษัทมีแนวโน้มว่าน่าจะขยายตัวไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอและเงินทุนที่จำกัด
ความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้น
คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลงอีกในปี 2563 จากผลกระทบทางเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วันต่อสินเชื่อรวม) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.7% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 จากระดับ 5.3% ณ สิ้นปี 2562 และยังสูงกว่าระดับ 3%-4% ในอดีต ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ ทริสเรทติ้งมีความกังวล ทั้งนี้ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อาจเพิ่มสูงยิ่งขึ้นหากการแพร่ระบาดยังคงยืดเยื้อต่อไป
แต่แม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์จะอ่อนแอลง ทริสเรทติ้งยังมีมุมมองว่าระดับสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญในปัจจุบันตามมาตรฐานรายงานทางการเงิน TFRS 9 ของบริษัทนั้นอยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยบริษัทมีการกลับรายการสำรองส่วนเกินจำนวน 18.2 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563
ความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะลดลงในระยะ 2 ปีข้างหน้าและหลังจากนั้นจะกลับฟื้นมาสู่ระดับปัจจุบัน อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2% เล็กน้อยในช่วงปี 2563-2564 จากระดับ 2.7% ในปี 2562 และหลังจากนั้นจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับเหนือกว่า 3% ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ด้วยว่าอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยของบริษัทจะลดลงต่ำกว่า 2.5% ในปี 2563-2565 และจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่มากกว่า 3.5% หลังจากปี 2565 ความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงน่าจะเป็นผลมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของบริษัทในปี 2562 ลดลงต่ำลงกว่าระดับปกติที่บริษัทเคยทำได้ที่ 10%-11% ทริสเรทติ้งคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะลดลงต่อไปอีกในปี 2563-2564 แม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะลดลงซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสแคบลงนั้นอาจเป็นผลมาจากสาเหตุ 2 ประการคือรายได้ดอกเบี้ยรับที่ลดลงจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่บริษัทอาจจะมีให้แก่ลูกหนี้บางส่วนและต้นทุนทางการเงินที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นจากการลดอันดับเครดิตของบริษัท อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าในระยะยาวนั้นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของบริษัทจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายสู่สภาพปกติ
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูง
แม้สถานการณ์ของตลาดตราสารหนี้จะดีขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองที่เห็นว่าความเสี่ยงในการกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมของบริษัทและบริษัทแม่น่าจะยังมีอยู่ต่อไปเมื่อพิจารณาจากแผนการชำระหนี้หุ้นกู้คงค้างในปีนี้ที่ยังไม่แน่นอน ทั้งนี้ จากประมาณการของบริษัท กระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายสำหรับระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ดูว่ามีความสอดคล้องกันดี โดยกระแสเงินสดรับจากการชำระเงินค่างวดของลูกหนี้นั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 930 ล้านบาทในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2563
ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวนราว ๆ 160 ล้านบาทในเดือนกันยายนและอีก 770 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดรับจากการชำระเงินค่างวดก็อาจไม่เป็นไปตามคาดหากลูกหนี้ของบริษัทเผชิญกับความยากลำบากทางการเงินหรือขอรับความช่วยเหลือเพื่อพักชำระหนี้ แต่เมื่อมองในด้านบวก บริษัทก็ยังได้รับวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินโดยใช้พอร์ตลูกหนี้สินเชื่อเป็นหลักประกันซึ่งน่าจะช่วยลดความเสี่ยงในด้านสภาพคล่องของบริษัทลงไปได้ในระดับหนึ่ง
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับช่วงระยะเวลาในปี 2563-2565 มีดังนี้
สินเชื่อใหม่จะหดตัวลงในปี 2563 และหลังจากนั้นจะขยายตัวที่ระดับ 5% ต่อปี
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 9%-10%
ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจะอยู่ในช่วง 2%-2.5%
อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงจะอยู่ในระดับประมาณ 60%
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้รวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 55%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" ของบริษัทมาจากแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแม่คือบริษัทไมด้า แอสเซ็ท ซึ่งสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทแม่จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญตลอดปี 2563 และสะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อมาทดแทนหุ้นกู้เดิมของบริษัทและบริษัทย่อยที่ใกล้จะครบกำหนดชำระในภาวะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนลดทอนลงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19