นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 กลุ่มบริษัทสามารถมีรายได้รวม 1,869 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากวิกฤติโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสนามบินและการบินของกลุ่ม ทั้งในส่วนของบริการ Airport Solutions ภายใต้ บมจ.สามารถเทลคอม (SAMTEL) ซึ่งให้บริการที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และสนามบินในภูมิภาค รวมจำนวนทั้งสิ้น 11 สนามบิน โดยในช่วงที่รัฐบาลออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดและจำกัดการเดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ของบริษัทที่ลดลงตามจำนวนผู้โดยสารที่หายไป คิดเป็นรายได้ที่ลดลงประมาณ 300 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส จำกัด (CATS) ซึ่งให้บริการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชา ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน โดยในไตรมาส 2 มีจำนวนเที่ยวบินเพียง 5,145 เที่ยว ลดลงถึง 80% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีเที่ยวบินจำนวนกว่า 3 หมื่นเที่ยว ผลกระทบดังกล่าว ได้ส่งผลต่อรายได้รวมที่ลดลงของกลุ่มสามารถ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าด้วยความพยายามในการเอาชนะโรคระบาดโควิด-19 อย่างจริงจัง ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ จะช่วยให้สถานการณ์จากนี้ไปเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลงานเด่นในช่วงไตรมาส 2 คือ กลุ่มสามารถเทลคอมได้ลงนามในโครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,438 ล้านบาท ล่าสุด บริษัท สามารถคอมเทค ยังได้ลงนามในโครงการจัดหาระบบโทรศัพท์ IP Phone แก่สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มสามารถยังได้เซ็นสัญญาโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าประเภทสุราแช่ชนิดเบียร์ที่ผลิตในประเทศ ระยะเวลา 7 ปี มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนเข้าประมูลโครงการมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท
"สิ่งที่กลุ่มสามารถมุ่งเน้นในขณะนี้ คือ การเร่งปรับปรุงองค์กรและกระบวนการทำงานให้มีความกระชับ เพิ่ม Productivity และพุ่งเป้าไปที่การพัฒนา Solutions ใหม่ๆ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจหลังโควิด ซึ่งผมเชื่อว่าหลังวิกฤตbครั้งนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง และอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับเรา คือ การมาของ 5G ที่จะสามารถรองรับการใช้งานด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็วขึ้น มีการรับส่งข้อมูลมากกว่าเดิมถึง 20 เท่า สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโอกาสของเราที่จะนำเสนอสินค้าและบริการที่จะเอื้อประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าต่อไป"นายวัฒน์ชัย กล่าว
SAMART แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 ขาดทุนสุทธิ 199.35 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55.73 ล้านบาท ส่งผลให้งวดครึ่งแรกปีนี้ มีผลขาดทุนสุทธิ 161 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิ 256.16 ล้านบาท