WHAUP คาดผลงาน H2/63 ฟื้นจากหดตัวใน H1/63 ตามภาคอุตสาหรรม-ภัยแล้งคลี่คลาย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 13, 2020 12:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะฟื้นตัวสะท้อนปัจจัยบวกที่เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย โดยระดับน้ำ ณ สิ้นเดือน ก.ค.ในอ่างเก็บน้ำ 3 แหล่งหลักที่หล่อเลี้ยงพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปรับตัวดีขึ้นมากจากระดับน้ำ ณ จุดต่ำสุดช่วงเดือน พ.ค. และปรับตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

รวมถึงแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมที่ทยอยเริ่มกลับมาดำเนินการตามปกติมากขึ้น และการเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการโครงการใหม่ของลูกค้าหลังจากที่ได้เลื่อนออกไปในช่วงช่วงครึ่งปีแรกจากภาวะภัยแล้ง ทำให้ประเมินว่าปริมาณการขายน้ำในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มสูงที่จะฟื้นตัวกลับมา

นอกจากนี้จากการที่บริษัทได้เร่งดำเนินการขยายกำลังการผลิต Reclaimed Water ในช่วงครึ่งปีแรกนั้น ส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิต Reclaimed Water ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวมเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของความต้องการใช้น้ำในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลบวกทั้งในแง่การเพิ่มรายได้จากการขาย เนื่องจาก Reclaimed Water เป็นผลิตภัณฑ์น้ำที่ถือว่าเป็นสินค้าเกรดสูง (premium grade) และการลดการพึ่งพิงและต้นทุนจากการใช้น้ำดิบ ได้อีกบางส่วนด้วย

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2/63 บริษัทมีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติจำนวน 620 ล้านบาท ลดลง 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Normalized Net Income) ซึ่งเป็นดัชนีหลักในการสะท้อนผลการดำเนินการหลักจำนวน 177 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับผลกระทบหลักจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรทางบัญชีจากธุรกิจไฟฟ้าที่บริษัทร่วมลงทุน โดยเฉพาะจากโรงไฟฟ้า Gheco-One ซึ่งลดลงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า นอกจากนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากเรื่องสถานการณ์ภัยแล้งในประเทศไทยต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา

ทั้งนี้ งวด 6 เดือนแรกของปี 63 บริษัทมีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 1,282 ล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 397 ล้านบาทปรับตัวลดลง 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทนั้น กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ได้รับผลกระทบจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทางบัญชีจากโรงไฟฟ้า Gheco-One ที่ลดลงจากหลายปัจจัย เช่น อัตราค่าความพร้อมจ่ายที่ลดลงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ค่าเงินบาทที่แข็งตัวทำให้ได้รับค่าความพร้อมจ่ายที่ลดลง ทิศทางราคาถ่านหินที่ลดลง และการเริ่มจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 10% เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา แต่ด้วยผลการดำเนินการของโรงไฟฟ้าที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง และภาระการชำระคืนเงินกู้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยที่ลดลงตามลำดับด้วยเช่นกัน ทำให้บริษัทยังคงได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในโครงการดังกล่าวในระดับที่สูงตามคาดการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ในไตรมาส 2 ยังอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยปริมาณยอดขายไฟฟ้ารวมของไตรมาส 2 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1 ประมาณ 2% แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้าจำนวน 3 แห่ง (จากทั้งหมด 8 แห่ง) มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในครึ่งปีแรก ทำให้ส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มธุรกิจ SPP ในครึ่งปีแรกเมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงตามแผนลดลงประมาณ 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรเพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ (CCE) ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ตลอดจนการทยอยเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ Solar Rooftop ในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นจาก 6 เมกะวัตต์ในช่วงปลายปี 62 เป็น 18 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 39 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 63 นี้ ส่งผลให้ยอดรวมกำลังผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามสัดส่วนการถือหุ้นแตะระดับ 592 เมกะวัตต์"

ส่วนผลการดำเนินการในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคในช่วงไตรมาส 2/63 ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากภาวะภัยแล้ง โดยภาคอุตสาหกรรมได้ให้ความร่วมมือกับมาตรการภาครัฐที่ขอความร่วมมือในการลดการใช้น้ำลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำในประเทศไทยของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ลดลงประมาณ 9% จากช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน

ด้านนายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของ WHAUP กล่าวว่า ผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ที่มีต่อตลาดการเงินในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้รับผลกระทบด้านสภาพคล่องและการบริหารจัดการด้านการเงินแต่อย่างใด โดยในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา บริษัทได้ออกหุ้นกู้อายุ 2 ปี 10 เดือน และ 10 ปี จำนวนรวม 3,000 ล้านบาท

และสำหรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือน ส.ค.นี้ บริษัทได้เลือกใช้เงินกู้อายุ 2-3 ปี จากสถาบันการเงิน จำนวนรวม 4,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสม และมีความพร้อมทางการเงินในการขยายธุรกิจตามแผนงานและเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ