นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เปิดเผยว่า ผลประกอบการหลังจากนี้จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 2/63 จากการที่เศรษฐกิจโลกกลับมาเปิดอีกครั้ง การผ่อนผันมาตรการล็อกดาวน์ และการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ การลงทุนของบริษัทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในธุรกิจที่เป็นผู้นำตลาดโลก ประกอบกับความมุ่งมั่นในการเติบโตและสร้างความหลากหลายในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการเติบโตในระยะยาว ส่งผลให้ค่าตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลอดทั้งวัฏจักร ในขณะเดียวกันยังคงมุ่งเน้นการสนับสนุน ส่งเสริม และใช้ประโยชน์จากธุรกิจหลักอย่าง PET ที่รีไซเคิลได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์มีความผันผวน บริษัทมีความพึงพอใจที่ 80% ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังรองรับตลาดในกลุ่มสินค้าที่ไม่คงทนถาวร ซึ่งเป็นอุปสงค์ที่ยังคงแข็งแกร่ง และมีส่วนในการเติบโตของกำไรและสภาพคล่อง เห็นได้จากปริมาณการขายและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มธุรกิจที่เหลืออีก 20% มองเห็นสัญญาณการฟื้นตัว อันเนื่องมาจากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวดีขึ้น
"ผมมองเห็นโอกาสอย่างมากมาย และหวังว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และกลุ่มธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ เรายังคงยึดมั่นในยุทธศาสตร์การดำเนินงานใน 5 ด้านที่สำคัญ ประกอบด้วย การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนราว 350 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2566 และ 44 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2563) การใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพ การเติบโตในธุรกิจข้างเคียงที่น่าสนใจ การสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจรีไซเคิล PET และความเข้มแข็งและพัฒนาผู้นำในองค์กร ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เราเชื่อมั่นในโมเดลทางธุรกิจที่มีฐานการผลิตทั่วโลก ประกอบกับลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่นทางอุปสงค์ ส่งผลให้เรายังคงจัดจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มั่นคง"นายอาลก กล่าว
นายอาลก กล่าวอีกว่า ในไตรมาส 2/63 บริษัทมีกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) อยู่ที่ 305 ล้านเหรียญสหรัฐ และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน จำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรหลักสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 82 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 50 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 1/63 สภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 0.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีเครดิตที่ยังไม่ได้ใช้อีกจำนวน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ กำไรหลักจากการดำเนินงานตามปกติต่อหุ้น (Core EPS) อยู่ที่ 0.43 บาทต่อหุ้น เติบโตจาก 0.25 บาทต่อหุ้นในไตรมาสแรก
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 นี้ขับเคลื่อนจากความต้องการ PET ที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรของธุรกิจ Integrated PET ที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนแปรสภาพที่ลดลง ปริมาณความต้องการเส้นใยเพื่อสุขอนามัยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการกลับสู่สภาพปกติของการปิดชั่วคราวในธุรกิจ PO/MTBE ในไตรมาสที่ 1/63
อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ได้รับผลกระทบทางลบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของธุรกิจ MTBE และ Integrated EG เนื่องจากการสูญเสียความได้เปรียบของ shale gas เมื่อเทียบกับผู้ผลิตที่ใช้แนฟทา ธุรกิจเส้นใยในกลุ่มยานยนต์และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ได้รับผลกระทบอย่างมากจากมาตรการล็อกดาวน์ ที่ส่งผลให้การใช้จ่ายของครัวเรือนในสินค้าคงทนลดลง รวมทั้งข้อจำกัดการข้ามแดนราว 80% ของผลิตภัณฑ์ตอบสนองต่อกลุ่มสินค้าที่ไม่คงทน ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบต่ออุปสงค์จากสถานการณ์โควิด-19 และภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ
กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่รองรับตลาดอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ได้รับผลบวกในช่วงของการระบาดใหญ่ของไวรัส ในขณะที่ผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้งานด้านอิเล็กทรอนิกส์และฟิล์มสำหรับหน้าจออยู่ในระดับคงที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมีการปรับตัวลดลงอย่างมาก และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นการปิดกิจการของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งส่งผลต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของบริษัท
ขณะที่การเข้าซื้อกิจการ Spindletop และการเริ่มดำเนินงานของโรงงานก๊าซแครกเกอร์ใน Lake Charles ไม่ได้สร้างผลกำไรตามแผนงานธุรกิจที่วางไว้ แต่ด้วยงบการเงินที่แข็งแกร่ง และความเหมาะสมทางกลยุทธ์ของธุรกิจโอเลฟินส์ที่มีก๊าซเป็นวัตถุดิบ ช่วยส่งเสริมการควบรวมธุรกิจ MEG ตามกลยุทธ์ของบริษัท และที่สำคัญการเข้าสู่ธุรกิจที่มีการเติบโตทั้งสารลดแรงตึงผิว เชื้อเพลิงเขียว และยูรีเทน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจของบริษัทมีความหลากหลาย สร้างการเติบโตในระยะยาว