หุ้น LALIN ราคาชนซีลลิ่ง 14.41% มาอยู่ที่ 5.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.68 บาท มูลค่าซื้อขาย 13.48 ล้านบาท เมื่อเวลา 14.43 น. โดยเปิดตลาดที่ 4.68 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.40 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 4.68 บาท
บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LILIN) ประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 395.83 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.43 บาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 149.79 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.16 บาท
พร้อมจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.25 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 27 ส.ค.นี้
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร ของ LALIN เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/63 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,304.4 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 50% โดยบริษัทยังคงรักษาความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้บริษัทมีการบันทึกรายการกำไรที่เกิดจากการถูกเวนคืนโครงการขายโครงการหนึ่งของบริษัท ซึ่งบริษัทได้รับเงินชดเชยมาเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้ในไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 395.83 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 164%
นายไชยยันต์ กล่าวว่า ในปี 63 เป็นอีกปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งในส่วนของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีการหดตัวลงเช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจหลัก โดยเริ่มเห็นหลายบริษัทได้รับผลกระทบ และประสบกับภาวะขาดทุน
สำหรับบริษัทซึ่งเน้นทำตลาดในกลุ่มที่เป็นความต้องการซื้อที่แท้จริง (Real Demand) และมีการบริหารงานที่มีการปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ ช่วยให้บริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 2,562 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18%
ขณะที่บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนในอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 39.2% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 38.9% ด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับลดลงจาก 11.4% มาอยู่ที่ 10.1% นอกจากนี้ในไตรมาสสองนี้ ได้บันทึกกำไรพิเศษที่เกิดจากถูกเวนคืนในโครงการหนึ่งของบริษัท ส่งผลให้ในครึ่งแรกของปี 63 มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 60%
สำหรับการขยายธุรกิจในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,500 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเปิดเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้ปิดโครงการลง และบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ในช่ววเดือนนี้ต่อเดือนหน้า
ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทยังคงคุมความเสี่ยงทางการเงิน และรักษาระดับ D/E Ratio ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/63 มีระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.77 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.5 เท่า