นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ยังเติบโตแข็งแกร่ง แม้มีสถานการณ์เศรษฐกิจจะชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,682 ล้านบาท เป็นส่วนของบริษัทใหญ่ที่ 1,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,102 ล้านบาท เป็นส่วนของบริษัทใหญ่ที่ 674 ล้านบาท เติบโต 17.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจัยสำคัญมาจากการเติบโตของกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องสู่ 3,019 เมกะวัตต์ในกลางปี 63 โดยตั้งแต่ต้นปีที่แล้วเป็นต้นมามีเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้า 4 โครงการ และการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้า 2 โครงการ คือ โครงการ บี.กริม เพาเวอร์ (เอไออี-เอ็มทีพี) (ชื่อเดิม เอสพีพี 1) และโครงการโรงไฟฟ้าอ่างทอง เพาเวอร์
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มขึ้นของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 เมกะวัตต์ ในปีก่อนหน้า และอีก 15 เมกะวัตต์ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากการทยอยเชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่แล้ว ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมรายเดิมเริ่มส่งสัญญานฟื้นตัว โดยในเดือน ก.ค.ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 17% จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อเดือนในช่วงไตรมาส 2/63
นอกจากนี้แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติยังเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของเรา โดยในเดือน ก.ค.มีราคาลดลง 8% จากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักในไตรมาส 2/63 เป็น 241 บาท/ล้านBTU ซึ่งมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีตามประมาณการของ ปตท.
พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าในการก่อสร้างโครงการ โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ray Power ในประเทศกัมพูชา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 39 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟาพลังงานลมบ่อทอง วินฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ มีกำหนดการ COD ในช่วงไตรมาส 4/63 ถึงไตรมาส 1/64 มั่นใจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาการซื้อไฟฟ้าที่ 5 พันเมกะวัตต์ภายในปี 65