นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังสถานการณ์คลายล็อกดาวน์ ทำให้บริษัทสามารถเปิดสาขาร้านค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าได้ตามปกติ ประกอบกับการปรับกลยุทธ์ Business Re-engineering ปรับแนวทางบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจทั้งระบบ ควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบริหาร คาดว่าผลประกอบการจะกลับมาดีขึ้นภายในปลายปีนี้
"จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก การชะลอตัวของเศษฐกิจทำให้สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท อย่างไรก็ตามบริษัทมีการปรับกลยุทธ์และแผนธุรกิจตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและประกอบกับบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดมีสภาพคล่อง ซึ่งทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาธุรกิจให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นและผ่านพ้นวิกฤตไปได้"นายแพทย์สุวิน กล่าว
สำหรับการแผนปรับกลยุทธ์ตลาดในประเทศ จะมุ่งเน้นขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีการขยายตัวสูง อาทิ อีคอมเมิร์ซ ช่องทางสินค้าอุปโภค สินค้าประจำวัน (Consumer Product) กลุ่มสินค้า Fast Moving Consumer Goods (FMCG) เจาะกลุ่มผู้ค้าส่งเครื่องสำอางรายใหญ่ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ (Local Distributor) พร้อมทั้งขยายช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ที่หลากหลาย เพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้าควบคู่กัน โดยสามารถซื้อขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัท อีคอมเมิร์ซและระบบแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ชั้นนำต่างๆ
พัฒนาโมเดลการขายใหม่ อาทิ "บิวตี้ออนไลน์ช็อป" ลูกค้าที่เคยใช้บริการที่สาขาให้สามารถสั่งซื้อผ่านออนไลน์ได้ทันที ทุกสาขาจะมีช่องทางการสั่งซื้อสินค้าทั้งหน้าร้านสาขา (Offline Store) และผ่านระบบออนไลน์ได้ทั้ง 2 รูปแบบ รวมทั้งสร้างโมเดลธุรกิจที่หลากหลายร่วมกับพันธมิตรที่เป็นแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย จากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าช่องทางจำหน่ายออนไลน์จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 50% ในปีนี้
ช่องทางร้านค้าปลีก (Retails) บริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัว เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต โดยปิดสาขาที่ไม่มีศักยภาพในการเติบโต เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์เข้ามาทดแทน เพื่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ในวงกว้าง และไม่มีข้อจำกัด ซึ่งบริษัทเชื่อว่านโยบายดังกล่าว จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต
สำหรับธุรกิจภาคการส่งออก ประเทศจีนปัจจุบันเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้วหลังจากเปิดเมือง แต่อยู่ในระดับเพียง 50% ของยอดขายปกติ คาดว่าภายในไตรมาส 4/63 จะเริ่มเห็นยอดขายและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศจีนและประเทศในการปกครองเช่น ฮ่องกง อย่างไรก็ตามบริษัทมีการปรับแผนออกสินค้าใหม่ที่มีกำไรดีมาชดเชยยอดขายที่ลดลง และร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดในไตรมาส 3 เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทยังโฟกัสช่องทางจำหน่ายกลุ่มประเทศคลายล็อกดาวน์ กลุ่มประเทศในเขต (South East Asia) อาทิ กัมพูชา เวียดนาม พม่า และมาเลเซีย แม้จะมีคำสั่งซื้อบ้างแต่ยังติดเรื่องระบบการขนส่ง การปิดด่านผ่านทาง คาดว่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้น เพราะสินค้าไทยและสินค้า BEAUTY ยังคงมีความต้องการหลังสถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งบริษัทมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับตัวแทนจำหน่าย สนับสนุนด้านการตลาดและสินค้าเพื่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจตามสถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนต่อเนื่อง
"ธุรกิจ BEAUTY ยังมีโอกาสในการเติบโตจากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าว และการสร้างช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ การได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายประเทศจีนและประเทศอื่นๆอย่างต่อเนื่องเป็นสัญญาณที่ดี สินค้า BEAUTY ยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคจีนและประเทศเขตเอเซีย อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวยังคงส่งผลกระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 2-3 ต่อเนื่อง คาดว่ายอดขายและกำลังซื้อจะฟื้นตัวในปลายไตรมาส 3 เป็นต้นไป โดยคาดการณ์รายได้ทั้งปีนี้จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 900 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นมากว่า 50%" นายแพทย์สุวิน กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 2/63 มีรายได้รวม 128.93 ล้านบาท ลดลง 52.30% จากไตรมาสก่อนที่มีรายได้รวม 270.32 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 61.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.63% จากไตรมาสก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 39.68 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก 63 บริษัทมีรายได้รวม 399.25 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,080.34 ล้านบาท ลดลง 63.04% และมีขาดทุนสุทธิ 101.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 116.32 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทดำเนินการลดค่าใช้จ่ายทำให้ค่าใช้จ่ายภาพรวมของบริษัท (SG&A )ในไตรมาส 2 เท่ากับ 137.58 ล้านบาทลดลง 47.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 262.37 ล้านบาท หรือลดลง 26.66% จากไตรมาส 1 ปีเดียวกัน เท่ากับ 187.58 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มระบาดในประเทศจีน ส่งผลต่อยอดขายต่างประเทศอย่างมีนัย รวมถึงการประกาศมาตรการปิดห้างสรรพสินค้าและปิดประเทศ (Lockdown)ในช่วงปลายไตรมาส1-2 (มี.ค.-พ.ค. 63) ทำให้บริษัทต้องปิดร้านค้าปลีกชั่วคราวเกือบ 300 สาขาทั่วประเทศ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 95% ของจำนวนสาขาทั้งหมด ประกอบกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่อ่อนตัวลง การชะลอตัวเศรษฐกิจ จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง การจับจ่ายชะลอตัว
นอกจากนี้ บริษัทเล็งเห็นผลกระทบในระยะยาวจึงมีมาตรการลดความเสี่ยงในอนาคต โดยในไตรมาส 1 และต่อเนื่องมาไตรมาส 2 ปี 2563 บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์หลายแนวทางเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัว เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) ในไตรมาส 2 จำนวน 32.03 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายตามแนวทางการปิดสาขาที่ไม่มีศักยภาพในการเติบโต และได้รับผลกระทบจากนโยบายปิดศูนย์การค้าต่างๆ ตามประกาศของรัฐบาลจากสถานการณ์โควิด-19