โบรกฯต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) เล็งกำไรไตรมาส 2/63 ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยคาดว่าจะมีกำไรในช่วง 865-903 ล้านบาท จากยอดขายและราคาขายที่สูงขึ้น และอัตราการใช้กำลังการผลิตเต็มกำลังการผลิตที่ 95% ของกำลังการผลิตที่ใช้ได้จริง
แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง (H2/63) คาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่อง ได้อานิสงส์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการ Social Distancing ได้ช่วยกระตุ้นอุปสงค์การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์มากขึ้น รวมถึงถุงมือยาง นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าเป็นอีกแรงหนุนผลประกอบการ
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ (2563) อยู่ในช่วง 4,200-5,487 ล้านบาท
หุ้น STGT ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 73.50 บาท ลดลง 4.75 บาท (-6.07%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 100.00 กสิกรไทย ซื้อ 106.00 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 91.00 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 110.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 111.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 90.00
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า STGT คาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/63 ที่ 865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 400% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 105% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เป็นไปตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น 16.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก มาอยู่ที่ 7,300 ล้านชิ้น และราคาขาย (ASP) ที่สูงขึ้น 10.2% จากไตรมาส 1/63
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง (H2/63) คาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่องในทุกไตรมาส โดยไตรมาส 3/63 น่าจะดีกว่าไตรมาส 2/63 และไตรมาส 4/63 จะมากกว่าไตรมาส 3/63 จากการปรับราคาขาย (ASP) ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการ Social Distancing ได้ช่วยกระตุ้นอุปสงค์การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์มากขึ้น ซึ่งรวมถึงถุงมือยาง
อย่างไรก็ตาม บล.กสิกรไทย ได้ประมาณการกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 15% เป็น 5,487 ล้านบาท และปี 64 ที่โต 42% เป็น 9,844 ล้านบาท จากการปรับราคาขาย (ASP) ขึ้นจากเดิม 2.33 ดอลลาร์เซ็นต์/ชิ้น เป็น 2.42 ดอลลาร์เซ็นต์/ชิ้น ส่วนปีหน้าปรับขึ้นจาก 2.58 ดอลลาร์เซ็นต์/ชิ้น เป็น 2.98 ดอลลาร์เซ็นต์/ชิ้น
สำหรับราคาหุ้น STGT ที่ปรับตัวลงมา มองว่าเป็นผลมาจากความคืบหน้าพัฒนาการวัคซีนของหลาย ๆ ประเทศมีความชัดเจน รวมถึงความกังวลบริษัท Hartalaga Holdings ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายถุงมือยางของมาเลเซีย ประกาศแผนเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งมองว่าขนาดการลงทุนไม่ได้ใหญ่มาก และจะเข้ามาอีก 18 เดือนข้างหน้า จึงเป็นโอกาสในการเข้า "ซื้อ" โดยคาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังนี้จะปรับตัวดีขึ้นอีก
"ราคาหุ้นอาจจะมี Sell on fact หลังงบไตรมาส 2/63 ออก ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากนักลงทุนอยากซื้อเพิ่ม แนะให้รอจังหวะหลังประกาศงบไตรมาส 2/63 แล้วค่อยทยอยซื้อ"นายสรพล กล่าว
ด้านบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 2/63 ของ STGT มีโอกาสเติบโตสูงกว่าคาด โดยคาดว่าจะเติบโตเป็น 903 ล้านบาท คิดเป็น 404% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 114% จากไตรมาสแรก จากปริมาณการขายถุงมือยางได้ 7,700 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาส 1/63 ที่ขายได้ 6,200 ล้านชิ้น และราคาขายเฉลี่ยที่ 0.69 บาท/ชิ้น เพิ่มขึ้น 15% จากราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 1/63 ที่ 0.60 บาท/ชิ้น โดยเป็นการปรับราคาเพิ่มขึ้นเดือนละ 5% จากความต้องการถุงมือยางที่อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ยังคงกำไรสุทธิทั้งปีโต 565% มาอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท จากปีก่อน โดยคาดว่ากำไรในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตมากจากราคาขายถุงมือยางในไตรมาส 3/63 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 40% อยู่ที่ 0.95 บาท/ชิ้น และจะทรงตัวไปถึงสิ้นปี, การปรับสัดส่วนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ให้มากขึ้นเป็น 40%-45% ของกำลังการผลิตจากไตรมาส 1/63 ที่ 30% เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนของยางสังเคราะห์อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้ปี 63 STGT จะมี utilization rate อยู่ที่ระดับ 95%, ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 0.80 บาท/ชิ้น เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน และ gross profit margin อยู่ที่ 25%
ส่วนปี 64 ยังคงกำไรสุทธิที่ 4,550 ล้านบาท เติบโต 8% จากปี 63 โดยคาดว่าราคาขายเฉลี่ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 0.85 บาท/ชิ้น หรือเพิ่มขึ้น 6% และประเมินว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาระดับ gross profit margin ได้เทียบเท่าปี 63 ที่ระดับ 25%
สำหรับ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์คาดกำไรปกติในไตรมาส 2/63 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ที่ 900 ล้านบาท เติบโต 113% จากไตรมาสแรก จากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาเต็มไตรมาส, ราคาขายต่อชิ้น (ASP) ที่เพิ่มขึ้นราว 15–20% และอัตราการใช้กำลังการผลิตเต็มกำลังการผลิตที่ 95% ของกำลังการผลิตที่ใช้ได้จริง (Technical capacity) หนุนทั้งรายได้และอัตรากำไร
อีกทั้งยังมีแนวโน้มทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในไตรมาส 3/63 โดยคาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากไตรมาส 2/63 เป็น 1,300- 1,500 ล้านบาท และทรงตัว QoQ ในไตรมาส 4/63 เนื่องจากบริษัทใช้การถัวเฉลี่ยราคาขายของไตรมาส 3/63 และไตรมาส 4/63 มาจำหน่ายในราคาเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลังนี้ นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าเป็นอีกแรงหนุนผลประกอบการ