นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า (SABINA) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ได้ทั้งในไตรมาส 2/63 และงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ต้องเผชิญความยากลำบากจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รัฐบาลตัดสินใจประกาศล็อกดาวน์ด้วยการปิดห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/63 จนถึงกลางไตรมาส 2/63 ส่งผลให้รายได้จากช่องทางค้าปลีก (Retail) ที่เป็นช่องทางหลักได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้รายได้ในช่องทาง Retail ลดลง 31.2% เช่นเดียวกับรายได้จากการส่งออก (Export) สินค้าแบรนด์ "ซาบีน่า" ไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV ที่ลดลง 2.6% และรายได้จากการรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในแถบยุโรป ที่ลดลง 2.4%
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถสร้างการเติบโตผ่านช่องทาง NSR (Non Store Retailing) ทั้งการขายออนไลน์ รวมถึงทีวีช้อปปิ้ง และอื่นๆ ที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัวได้ถึง 58.1% โดยเฉพาะในไตรมาส 2/63 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้ามากที่สุด แต่การขายในช่องทาง NSR เติบโตได้ถึง 109.2% สะท้อนความสำเร็จจากการปรับตัวของบริษัทที่เดินหน้าสร้างทีมขายและทีมการตลาดช่องทางออนไลน์ได้อย่างแข็งแกร่ง จนติดอันดับสินค้าในกลุ่มแฟชั่นที่มียอดขายสูงสุดในแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของซาบีน่า ที่จะต้องพัฒนาและต่อยอดให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"แม้ว่ารายได้จากช่องทางหลักจะลดลง แต่เรายังสามารถรักษากำไรไว้ได้ โดยปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทฯ บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเหลือ 45.9% เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากบริษัทฯ จะจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้า เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภคซึ่งได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงตามมาตรการของรัฐแล้ว บริษัทฯ ยังใช้กำลังการผลิตบางส่วนดำเนินการผลิตหน้ากากผ้าสำหรับบริจาคให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีความต้องการใช้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่ทำงานบริการประชาชน รวมถึงบริจาคให้กับนักเรียนในถิ่นที่ขาดแคลนหน้ากากผ้า ซึ่งถือเป็นกิจกรรมช่วยเหลือสังคมในภาวะวิกฤติที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน
ทั้งนี้ หลังจากสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายและมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ก็มั่นใจว่า บริษัทฯ จะกลับมารักษาการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน" นายบุญชัยกล่าว
สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ รวมถึงการประเมินกำลังซื้อจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมว่าจะใช้เวลามากเท่าใดที่จะกลับสู่ภาวะปกติ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งหากสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับก็จะทำให้ผลประกอบการในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 และคาดว่าจะกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งในปี 64