TK แจง H1/63 กำไรหดรับผลตั้งสำรองตาม TFRS9-คุมเข้มปล่อยสินเชื่อ,แต่ธุรกิจตปท.ยังโตดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 14, 2020 15:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวดครึ่งแรกของปี 63 บริษัทมีรายได้รวม 1,363.2 ล้านบาท ลดลง 29.8% จาก 1,942.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 153 ล้านบาท ลดลง 33.5% จาก 230 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนช่วงเวลาเดียวกัน

ส่วนในไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 52.3 ล้านบาท ลดลง 55.3% จาก 117.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน และรายได้รวม 622.3 ล้านบาท ลดลง 35.3% จาก 962.5 ล้านบาท โดยมีลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิรวม 5,886.1 ล้านบาท ลดลง 20.9% จาก 7,438.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 62 จากนโยบายเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อต่อเนื่องมา 7 ไตรมาส และในไตรมาส 2/63 ยังได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 200,000 ราย

"ผลประกอบการดังกล่าว เป็นการตั้งสำรองโดยใช้มาตราฐานบัญชี TFRS 9 ทั้งนี้ หากบริษัทฯ ตั้งสำรองตามข้อผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ตามแนวปฏิบัติทางการบัญชี บริษัทจะมีกำไรครึ่งปีแรก 256.6 ล้านบาท หรือโตขึ้น 12%"นางสาวปฐมา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ไตรมาสที่ผ่านมา ธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงลูกค้าบางส่วนของ TK บริษัทฯ จึงได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยแบ่งเป็น 4 มาตรการหลัก คือ 1) การหยุดพักชำระหนี้ค่างวด 2) การลดยอดผ่อนชำระค่างวดลงให้อยู่ในระดับขั้นต่ำตามที่กำหนด 3) การให้ส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมจากอัตราปกติสำหรับลูกหนี้ที่ต้องการปิดยอดคงค้างของบัญชีก่อนกำหนด และ 4) การให้ความคุ้มครอง Covid-19 สำหรับลูกค้าที่ยังคงชำระค่างวดเต็มได้ตามเดิม ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าโดยส่วนใหญ่ยังมีการชำระเต็มจำนวนเฉลี่ยสูงถึง 74.6% จึงทำให้บริษัทฯ สามารถเก็บค่างวดคิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยสูงถึง 87.4% ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งสูงกว่าที่บริษัทฯ ได้คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้าน ในกรณีที่สถานการณ์ดังกล่าวยังคงยืดเยื้อ โดยจะใช้มาตรการที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและการควบคุมคุณภาพลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งบริหารจัดการแหล่งต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทในระยะยาวต่อไป

ทางด้านนายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ TK กล่าวเพิ่มเติมว่า ไตรมาส 2/63 รายได้เช่าซื้อ มีจำนวน 514.9 ล้านบาท ลดลง 33.8% จาก 778.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ครึ่งปีแรกมีจำนวน 732,636 คัน ลดลง 18.1% จาก 894,148 คัน และยอดจำหน่ายรถยนต์มีจำนวน 328,604 คัน ลดลง 37.2% จาก 523,770 คัน

ส่วนของรายได้อื่น ๆ ในไตรมาส 2/63 มีจำนวน 104.1 ล้านบาท ลดลง 42.0% จาก 179.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน อันเป็นผลมาจากมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าในช่วง Covid-19 โดยบริษัทฯ ได้ยกเว้นเบี้ยปรับต่าง ๆ และค่าติดตามทวงถาม ในช่วงเวลาดังกล่าว

"ในสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย TK หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าในพอร์ต ควบคู่กับการควบคุมค่าใช้จ่าย และการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายรวมในไตรมาส 2/63 ลดลง 30.6% จาก 779.5 ล้านบาท เป็น 540.6 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคงควบคุมต้นทุนทางการเงินตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ โดยในไตรมาส 2/63 มีต้นทุนทางการเงินจำนวน 21.3 ล้านบาท ลดลง 37.9% จาก 34.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากมีการใช้วงเงินกู้ลดลง เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์

ประกอบกับมีการบริหารจัดการแหล่งต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/63บริษัทฯ มีสถานะเงินสดอยู่ที่ระดับประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีความพร้อมที่จะสามารถนำไปชำระคืนหุ้นกู้ ชำระค่าหุ้นในการซื้อกิจการ MFIL ในประเทศเมียนมา และพร้อมกลับมาเร่งทำตลาดเพื่อขยายตัวในประเทศ เมื่อสถานการณ์ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นทันที" นายประพล กล่าว

นายประพลกล่าวเสริมว่า แม้ว่าผลประกอบการในประเทศไทยจะหดตัว แต่ผลประกอบการในต่างประเทศของ TK ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 22% ณ สิ้นไตรมาส 2/63 โดยมาจากประเทศกัมพูชาเป็นหลักที่ระดับ 19% และคาดว่าสัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในสิ้นปี 63 นี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ