นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ (JUBILE) เปิดเผยถึงแนวโน้มครึ่งปีหลังของปี 2563 ว่า ประเมินว่าทิศทางกำลังซื้อผู้บริโภคจะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก เนื่องจากห้างสรรพสินค้ากลับมาดำเนินการปกติ ทำให้บริษัทฯ มองว่าการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง โดยตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สถานการณ์เริ่มกลับมาดีขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งสัดส่วนลูกค้าของ JUBILE 99% เป็นคนไทย และเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศ พอห้างกลับมาเปิดเป็นปกติ ประกอบกับภาครัฐมีแผนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้กำลังซื้อและการบริโภคในประเทศกลับมาฟื้นตัว
หากสถานการณ์ครึ่งปีหลังเป็นไปตามกลยุทธ์ที่บริษัทฯ วางไว้ ผู้บริโภคลดความกังวลในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ประกอบกับการทำการตลาดแบบรู้ใจลูกค้า และจัดบิ๊กอีเวนต์กระตุ้นตลาด จะทำให้ผลงานในครึ่งปีหลังเติบโตได้ดีขึ้น โดยบริษัทมีแผนในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ และสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น และยังมุ่งมั่นในการสรรหานวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัทฯ จะเดินหน้าขายสินค้าผ่านหน้าร้านทั้ง 130 สาขา รวมถึงช่องทางออนไลน์ หรือ e-Commerce เนื่องจากช่วงที่บริษัทได้รับผลกระทบ และไม่สามารถขายสินค้าผ่านหน้าร้าน บริษัทฯได้นำสินค้าหลายรูปแบบ มาขายผ่านช่องทาง e-Commerce ของบริษัทฯ โดยก่อนหน้านี้บริษัทขายสินค้า Jubilee LINE FRIEND Collection ในช่องทางดังกล่าวเท่านั้น ส่วนในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ ประเมินสัดส่วนยอดขายจากออนไลน์จะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 10% ของยอดขายครึ่งปีหลัง จากสัดส่วนยอดขายไม่ถึง 1% ในปีที่แล้ว
"ปีนี้ฉลองครบรอบ 91 ปี บริษัทฯ ได้จัดงาน JUBILE DIAMOND MIDYEAR GRAND SALE 2020 เป็นงานมหกรรมเครื่องประดับเพชรครั้งยิ่งใหญ่ในรอบปี ในช่วงวันที่ 30 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากกิจกรรมอีเวนต์ต่างๆ ถูกเลื่อนออกมาจากช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ ในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมจัดบิ๊กอีเวนต์ใหญ่ๆ เพิ่มเติมอีก ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ JUBILE มีกิจกรรมทางการตลาดที่รุกหนักพอสมควร อีกทั้ง เตรียมออกสินค้าใหม่ในเทศกาลวันแม่ เพื่อเพิ่มยอดขายในช่วงเทศกาลและรองรับความต้องการของลูกค้า" นางสาวอัญรัตน์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 34.96 ล้านบาท ลดลง 47.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 66.59 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 49.61% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 13.89% มีรายได้รวม 251.76 ล้านบาท ลดลง 48.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 487.26 ล้านบาท
สาเหตุสำคัญมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มระบาดในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2563 และจากการที่สาขาของบริษัทฯ ที่ดำเนินการอยู่ในห้างสรรพสินค้าต้องหยุดกิจการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม จนถึงวันที่ 16 พฤษภาคม ตามประกาศจากรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อยอดขายผ่านสาขาของบริษัท ที่มีทั้งหมดกว่า 130 สาขา ต้องปิดให้บริการเกือบทั้งหมด โดยมีสาขาที่เปิดดำเนินการอยู่เพียง 3 สาขา อีกทั้งยังต้องเลื่อนจัดงานอีเวนต์ใหญ่ประจำปีที่ปกติจะจัดในเดือนมิถุนายนด้วย
อย่างไรก็ดีบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์บุกตลาดออนไลน์ จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายและการตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่การคุมค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาสภาพคล่องและเงินสดในมือให้แข็งแกร่ง ประกอบกับ การบริหารต้นทุนสินค้าที่ดี รวมถึงการบริหารส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ (Product Mix) ที่สามารถทำให้ได้กำไรที่ดีขึ้น ทำให้ภาพรวมไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ระดับ 49.61 % ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 44.62% และสามารถทำยอดขายผ่านออนไลน์คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของยอดขาย
ขณะที่ผลประกอบการในงวดครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2563) บริษัทฯ มีรายได้รวม 616.52 ล้านบาท ลดลง 256.71 ล้านบาท คิดเป็น 29.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 873.23 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 80.02 ล้านบาท ลดลง 33.0 % เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา
"ผลประกอบการในไตรมาส 2/2563 ประเมินว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของบริษัทฯ เนื่องจากเราปฏิบัติตามนโยบายภาครัฐ ทำให้ต้องปิดให้บริการหน้าร้าน และยอดขายหายไปเกือบ 2 เดือน ในช่วงที่เหลือของปีบริษัทฯ จะพยายามเร่งยอดขายจากสาขาเดิม Same Store Sales Growth (SSSG) ให้เพิ่มขึ้น หลังจากห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดให้บริการตามปกติ พร้อมทั้ง จะพยายามรักษาฐานอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปีนี้ให้อยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 45% หรือใกล้เคียงกับปีก่อน จากการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในองค์กรและการขาย พร้อมรักษาการเติบโตที่ดีในช่องทางการขายผ่านออนไลน์อย่างต่อเนื่อง" นางสาวอัญรัตน์ กล่าว