นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงนำกลยุทธ์ 3 Steps ได้แก่ Step Change, Step Out และ Step Up มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ แต่มีการทบทวนอย่างรอบคอบและปรับกลยุทธ์ในช่วงภาวะวิกฤตินี้ โดยตามแผน 1. Step Out เติบโตนอกบ้าน ในส่วนของแผนซื้อกิจการ (M&A) กลุ่มธุรกิจใหม่ เพื่อต่อยอดโครงการธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Business) เช่น กลุ่มธุรกิจ High Performance Polymer & Composites และ Coating & Adhesives ได้อาศัยช่วงวิกฤติโควิด-19 เจรจาเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ทำให้โครงการต่าง ๆ ถูกชะลอออกไปเพื่อใช้เวลาในการทบทวนให้เกิดความรอบคอบ รวมถึงโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ (US Petrochemical Complex) ที่สหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรรายใหม่แทน Daelim ที่ได้ถอนตัวไป ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการเจรจาต่อรองค่าก่อสร้าง รวมถึงการหาพันธมิตรใหม่ ๆ ซึ่งคาดว่าจะได้ผลสรุปเพื่อตัดสินใจในการดำเนินโครงการดังกล่าวในเร็ว ๆ นี้
2. Step Change ทำบ้านให้แข็งแรง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ด้วย Operational Excellence และเพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบ (Feedstock Flexibility) รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มุ่งหน้าสู่ธุรกิจ High Value Product (HVP) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และตลาดที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้นด้วยแนวทาง market-focused business โดยเน้นการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี เงินลงทุนไม่สูงมาก อาทิ การเข้าซื้อหุ้น ใน "Dynachisso Thai" บริษัทสัญชาติไต้หวัน เพื่อเดินหน้าธุรกิจพลาสติกวิศวกรรม พีพี คอมพาวด์ (PP Compound) ซึ่งมีเป้าหมายลงทุนในบริษัทที่พร้อมลงทุนต่อเนื่องได้ทันที มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ประกอบด้วย โครงการ Olefin Reconfiguration Project (ORP) สร้างแนฟทา แครกเกอร์ (Naphtha Cracker) มีคืบหน้าไปแล้ว 91% คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส ที่ 4 ปี 2563 , โครงการโพรพิลีน ออกไซด์ (Propylene Oxide : PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) ร่วมทุนกับบริษัทฯ ญี่ปุ่น ผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมโพลียูรีเทน (Polyurethane) อุตสาหกรรมรถยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป้าหมายเพื่อทดแทนการนำเข้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คืบหน้าไปแล้ว 94 % คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2563
โครงการร่วมลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงใน 2 โครงการ ได้แก่ PA9T 13,000 ตัน/ปี และ HSBC 16,000 ตัน/ปี คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2565 , โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเทเรฟเทเลท (Polyethylene Terephtalate: PET) จาก 147,000 ตันต่อปี เป็น 200,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 , โครงการ HMC PP Line Expansion กำลังการผลิต เม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน 250,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 และโครงการพลาสติกรีไซเคิล เริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 2563 และคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2565
3. Step Up เติบโตอย่างยั่งยืน โดยกำหนดกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Strategy) และเป้าหมายชัดเจนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission) จากการดำเนินงาน (Scope 1 & 2) ของบริษัท ทั้งสิ้น 2 เป้าหมาย ได้แก่ 1) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% จากการดำเนินธุรกิจปกติ ภายในปี 2573 และ 2) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อตันผลิตภัณฑ์ 52% ภายในปี 2593 ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และสนับสนุนเป้าหมายของโลกในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส ปัจจุบันบริษัทโฟกัสในส่วนของ Scope 3 เพื่อขยายผลการดำเนินงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้ง Supply chain ดังตัวอย่างเช่น การลดการเดินทางของพนักงาน จากนโยบาย Work from Home เป็นต้น
สำหรับนโยบายด้านหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) บริษัทวางเป้าหมายในปี 2573 เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Performance Product) และกลุ่มเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Chemicals) จาก 10% เป็น 30%