นายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สแกน อินเตอร์ (SCN) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/63 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายของภาครัฐสนับสนุนการใช้น้ำมันดีเซล ขณะที่ปล่อยราคา NGV ลอยตัว ทำให้ปริมาณการใช้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตอกย้ำให้ธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์และธุรกิจขนส่ง NGV ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
นอกจากนี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมชะลอการผลิตลง ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติอัด (iCNG) ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้บริษัททำรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกเพียง 150 ล้านบาท จากเป้าหมาย 404 ล้านบาท หรือคิดเป็น 37% ของเป้าหมาย
ขณะเดียวกันธุรกิจยานยนต์ก็ได้รับผลกระทบเกี่ยวเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน เพราะทำให้บริษัทไม่สามารถนำรถมินิบัสที่ผลิตจากประเทศจีนเข้ามาทำการตลาดในช่วงไตรมาส 2/63 ที่ผ่านมาได้ เนื่องจากติดปัญหาด้านการขนส่ง เพราะรถมินิบัสดังกล่าวถูกส่งออกจากมณฑล Huangshi อยู่ใกล้กับเมือง Wuhun จึงทำให้ต้องชะลอออกไปก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ด้วยการลดต้นทุนในส่วนต่าง ๆ ลง ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารจัดการ (SG&A) ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งในปลายไตรมาส 2/63 หลังจากรัฐบาลผ่อนคลายล็อกด่วน์ครบทุกเฟส จึงส่งผลบวกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้ง จึงคาดว่าจะช่วยผลักดันดีมานด์ NGV และ iCNG พุ่งสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ บริษัทยังมีรายได้จากสัญญารับเหมาซ่อมบำรุงรถโดยสารปรับอากาศเชื้อเพลิง NGV 489 คัน ให้กับองค์การขนส่งมวลชน (ขสมก.) ที่ดำเนินงานร่วมกับบมจ. ช. ทวี (CHO) ซึ่งสัญญายังเหลืออีก 8 ปี จึงทำให้บริษัทยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 แต่ยังสามารถตอบโจทย์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลประกอบการจากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่จังหวัดนครปฐมและจังหวัดกาฬสินธุ์ยังทำได้ดีกว่ากว่าที่คาดการณ์ไว้
ทางด้านโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากรัฐบาลเมียนมาจ่ายเงินล่าช้าออกไป จึงทำให้ต้องปรับการรับรู้รายได้ในไตรมาสนี้ลดลง เนื่องจากได้รับรายได้จริงน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRIC 12 ถึงแม้ว่าในไตรมาสนี้โครงการฯ จะสามารถจ่ายไฟจริงได้เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 105% โดยคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟได้กว่า 110-120% จากที่ประมาณการไว้ในไตรมาสต่อไป รวมถึงกลับมารับรู้รายได้ตามปกติ และสร้างรายได้ให้บริษัท อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังเตรียม COD จากโรงไฟฟ้ามินบู กำลังการผลิต 220 MW จากเฟส 2 ซึ่งจะเริ่มสร้างภายในเดือนสิงหาคมและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ครบทั้ง 4 เฟส
นอกจากนี้ยังมีข่าวดีจากการเริ่ม COD ของโครงการ Solar Rooftop ซึ่งบริษัทเริ่มลงทุนในนามของบริษัท Scan Advance Power (SAP) ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 จำนวน 5 โครงการในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขนาดกำลังการผลิตกว่า 2.4 MW ทำให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากไตรมาสก่อนหน้าสู่ระดับ 3.9 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกของบริษัท และพร้อมลุยเดินหน้าหาลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
บริษัทวางแผนเตรียมเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) ให้ได้ราว 20 MW ภายในสิ้นปีนี้ โดยปรับลดลงจากเป้าเดิมที่ 30 MW เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การเข้าไปทำงานมีความยากลำบากมากขึ้น ทั้งที่ดีมานด์การเติบโตของธุรกิจ Solar Rooftop ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงยังมั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน และธุรกิจ Solar Rooftop จะเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนผลกำไรให้เติบโตยั่งยืนตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 63 ซึ่งบริษัทยังคงตั้งเป้ากำลังการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 110 MW ภายในปี 2565 เช่นเดิม
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 63 จากที่ภาครัฐยังไม่มีนโยบายการสนับสนุน NGV บริษัทฯ จึงได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยนำธุรกิจพลังงานเข้ามาทดแทนและช่วยเพิ่มช่องทางรายได้ให้มีสัดส่วนมากขึ้น โดยเมื่อเดือน มิ.ย.บริษัทพร้อมทั้งผู้ถือหุ้นรายอื่นในบริษัท กรีน เอิร์ธ พาวเวอร์ ไทยแลนด์ จำกัด (GEP) ได้มีการเพิ่มทุนเพื่อใช้สำหรับดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้ามินบูใน Phase 2 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการเพิ่มทุนเพื่อเริ่มดำเนินการก่อสร้างในส่วนของ Phase 3 และ Phase 4 ต่อไป
ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาตินั้น บริษัทได้เตรียมความพร้อมไว้ตลอดสำหรับช่วงใดที่มีโอกาสด้านการลงทุนที่เหมาะสมก็พร้อมที่จะลุยงานได้อย่างทันทีเนื่องจากเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านก๊าซธรรมชาติอย่างแท้จริง