บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระและ/หรือใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินงานของบริษัท
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ตลอดจนเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนโดยระดับหนี้สินที่สูง รวมถึงความอ่อนไหวต่อการแทรกแซงราคาน้ำมันจากภาครัฐ และการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน
เช่นเดียวกับผู้ค้าปลีกน้ำมันรายอื่น บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ส่งผลให้การบริโภคนำมันภายในประเทศลดลง ทั้งยังส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ โดยในไตรมาสที่สอง บริษัทมียอดการจำหน่ายน้ำมันลดลง 1% จากไตรมาสก่อน บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 2.2 หมื่นล้านบาทและ และกำไรสุทธิอยู่ที่ 513 ล้านบาท ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท
เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายการขยายกิจการทั้งในส่วนของการขยายสถานีบริการน้ำมันและธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันลง โดยบริษัทได้ปรับการขยายสถานีบริการน้ำมันใหม่ลงเหลือไม่เกิน 100 สถานีในปี 2563 ทั้งยังได้ปรับลดเงินลงทุนลงจาก 4.5 พันล้านบาท เหลือ 3 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้ง คาดว่าปริมาณความต้องการน้ำมันจะกลับมาสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 หลังจากมีการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังมองว่าเหตุการณ์ความต้องการน้ำมันที่จะกลับมาสูงขึ้นนั้นยังมีความเปราะบางอันเนื่องมาจากความเป็นไปได้ที่จะมีการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกที่สอง สำหรับกรณีฐานนั้น ทริสเรทติ้งคาดการณ์แบบระมัดระวังว่าบริษัทจะมียอดจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น 3% ในปี 2563 และจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 7%-8% ต่อปี ในปี 2564-2565 ประมาณการค่าการตลาดในภาพรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.70 บาทต่อลิตร และมีรายจ่ายลงทุนที่ 2.5 พันล้านบาทในปี 2563 และเพิ่มเป็น 4.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565
จากราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยที่ลดลง ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลง 18% ในปี 2563 มาอยู่ที่ 9.8 หมื่นล้านบาท ก่อนที่จะกลับไปอยู่ที่ระดับ 1.3-1.4 แสนล้านบาทในปี 2564-2565 ในช่วงเวลาประมาณการ
ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4.6-5.5 พันล้านบาทต่อปี โดยบริษัทจะยังคงระดับหนี้สินที่สูงจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบริษัท การนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) มาปฏิบัติทำให้บริษัทมีหนี้สินที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ระหว่าง 77%-79% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5 เท่า
ณ เดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีหนี้สินในส่วนของเงินกู้ธนาคารและหุ้นกู้ที่จะต้องจ่ายภายใน 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท สำหรับสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทมีเงินสด 671 ล้านบาท และคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจำเป็นจะต้องนำเงินที่ได้จากการระดมทุนใหม่ไปชำระกับเจ้าหนี้เดิมเพื่อสนับสนุนแผนการลงทุนของบริษัท จากกระแสเงินสดของบริษัทที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความเสี่ยงจากการทำรีไฟแนนซ์นั้นอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้
แนวโนมอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้และบริษัทจะมีความระมัดระวังในการขยายธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในช่วงที่ได้คาดการณ์ไว้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีโอกาสเกิดขึ้นไม่มากนักในระยะเวลาอันใกล้เนื่องจากระดับหนี้ที่สูงของบริษัท ในขณะที่อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุนหรือหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง