นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้ว ช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะพลิกกลับมาเป็นบวก หลังจากที่หดตัว 25% ในช่วงไตรมาส 2/63 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย ทำให้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ผลักดันให้ยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ยอดขายรวมพลิกเป็นบวกได้มากนักในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่ายอดขายรวมทั้งปีของบริษัทจะทรงตัวจากระดับ 1.13 หมื่นล้านบาทในปีก่อน หรือลดลงเล็กน้อย
ทั้งนี้ ทางการได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ.ค.จนถึงปัจจุบัน แนวโน้มของยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วของบริษัทเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น จากที่ติดลบไปมากที่สุดในช่วงเดือนเม.ย. ที่ -30% และค่อยฟื้นกลับมาในเดือนพ.ค. ที่ -20% และมิ.ย. ที่ -10% จนถึงในเดือนก.ค. เหลือติดลบเล็กน้อย เนื่องจากลูกค้าเริ่มกลับมาสั่งผลิตขวดแก้ว และขวดบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น หลังจากลูกค้าสามารถขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นกว่าในช่วงล็อกดาวน์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และซอฟท์ดริ้งก์ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท
ขณะที่ตลาดลูกค้าต่างชาติก็ได้เริ่มทยอยกลับมาสั่งซื้อขวดแก้วและบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น แต่ยังมีสัดส่วนไม่มาก และมีสัดส่วนรายได้ลดลงไปเล็กน้อยจาก 10% เมื่อสิ้นปี 62 ลงมาที่ 9% ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา โดยลูกค้าหลักของบริษัทยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าในประเทศกว่า 90%
"ไตรมาส 3/63 น่าจะเห็นยอดขายพลิกกลับมาเป็นบวกได้ชัดเจน จากที่ออร์เดอร์ลูกค้ากลับเข้ามามาก ทั้งลูกค้าในและต่างประเทศ จากการคลายล็อกดาวน์ ทำให้มีการสั่งออร์เดอร์ผลิตขวดแก้วเข้ามามาก และเราก็ใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาที่ 84% และก็จะดีขึ้นในต่อในช่วงไตรมาส 4/63 ตามลำดับ ซึ่งเราก็ดู ๆ ยอดขายทั้งปีถ้าไม่ติดลบเล็กน้อย ก็อาจจะทรงตัวจากปีก่อน"นายศิลปรัตน์ กล่าว
นายศิลปรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องราคาซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับบรรจุภัณฑ์ในต่างประเทศ 2-3 ดีล ซึ่งแผนการซื้อกิจการดังกล่าวล่าช้าออกไป 2-3 เดือนจากโควิด-19 ทำให้บริษัทไม่สามารถเดินทางไปเจรจาได้ โดยที่ดีลมีมูลค่าลงทุนรวม 2-3 พันล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปอย่างเร็วที่สุดปลายปีนี้ หรือหากเลื่อนไปก็เป็นช่วงปี 64 ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 ว่าจะเป็นอย่างไร
โดยการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับบรรจุภัณฑ์ในต่างประเทศถือเป็นการขยายการเติบโตของบริษัทและเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจที่มีการกระจายฐานลูกค้าออกไปในหลากหลายประเทศมากขึ้น และบริษัทยังได้คาดหวังการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศมากกว่า 10% โดยที่ปัจจุบันกลุ่มลุกค้าหลักของบริษัทในต่างประเทศจะอยู่ในประเทศสหรัฐฯ 39% กลุ่มประเทศ CLMV 35% อินเดีย 10% ยุโรป 10% และออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ 6% ประกอบกับบริษัทมองถึงโอกาสในการขยายกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อต่อยอดเข้าไปขยายฐานลูกค้าในกลุ่มยาเวชภัณฑ์และอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีและมีมาร์จิ้นสูง
สำหรับปัจจัยที่ยังช่วยสนับสนุนกำไรของบริษัท ให้ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาก มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มฟูเยี้ยน ในประเทศเวียดนาม ที่สามารถสามารถทำการผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถเข้ามาช่วยลดผลกระทบจากธุรกิจผลิตขวดแก้วและบรรจุภัณฑ์ได้บ้าง ทำให้ภาพรวมของกำไรในช่วงครึ่งปีแรกลดลงเพียง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าจะยังคงช่วยพยุงกำไรในช่วงครึ่งปีหลังได้ต่อไป