นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจช่วงครึ่งหลังของปี 63 จะเห็นการฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 2/63 หากไม่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบสองเกิดขึ้น เนื่องจากแนวโน้มของนักท่องเที่ยวในประเทศเริ่มกลับมาเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ที่สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวไปได้ และการผ่อนคลายล็อกดาวน์ทำให้บริษัทสามารถกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมในเครือได้เกือบ 100%
อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวยังไม่สามารถชดเชยกับการหายไปของกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 70% มากกว่ากลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีสัดส่วนเพียง 30%
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังกลุ่มโรงแรมที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนการฟื้นตัว จะอยู่ในกลุ่มโรงแรมขนาดเล็ก คือ กลุ่มโรงแรม HOP INN ที่กลับมาเปิดให้บริการแล้วทั้งหมด และเป็นโรงแรมที่ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกเข้ามาพักเป็นลำดับแรก ๆ เพราะเป็นโรงแรมที่เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก มีราคาห้องพักที่ไม่สูง และอยู่ในทำเลที่ดี ทำให้อัตราการเข้าพัก (OCC) ของกลุ่มโรงแรม HOP INN ก้าวกระโดดขึ้นมาต่อเนื่องในเดือนมิ.ย.-ก.ค.ที่ผ่านมาที่ระดับ 58% และ 67% ตามลำดับ หลังจากที่ลดลงไปต่ำสุดในเดือนเม.ย. 63 ที่ 2% และคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/63 หากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยยังคงควบคุมได้ดีอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอัตราการเข้าพักขอกลุ่มโรงแรม HOP INN จะกลับมาสู่ระดับปกติที่ 70%
สำหรับสถานการณ์โรงแรมในจังหวัดท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ห่างจากกรุงเทพฯออกไปมาก และต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน เช่น ภูเก็ต กระบี่ สมุย และเชียงใหม่นั้น ยังคงไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวกลับมาที่ชัดเจน เพราะยังขาดกลุ่มนักท่องเที่ยวหลัก คือ นักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ ทำให้โรงแรมในจังหวัดท่องเที่ยวที่ห่างจากกรุงเทพฯออกไปมากยังคงได้รับผลกระทบมากกว่า จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวของคนในประเทศจากภาครัฐ ตามโปรแกรม "เราเที่ยวด้วยกัน" เข้ามาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักได้เหมือนกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 เพราะตลาดท่องเที่ยวในไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติค่อนข้างมาก และการทำ Travel Bubble ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า รวมถึงโควิด-19 ที่ยังไม่มีวัคซีนรักษาออกมาใช้ได้จริง ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยจะยังคงได้รับผลกระทบไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี หรือจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้ได้จริง
"บริษัทก็คาดหวังให้ภาครัฐมีมาตรการออกมากระตุ้นการท่องเที่ยว และช่วยเหลือผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ คิดว่าปัจจัยโควิด-19 ยังกดดันผู้ประกอบการไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเห็นวัคซีนออกมาใช้จริง แม้ว่ามีมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวของภาครัฐออกมา แต่เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำโปรโมชั่นเองควบคู่ไปด้วย เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวในประเทศกลับมาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก"นายเพชร กล่าว
ส่วนแผนงานหลักที่บริษัทยังคงต้องทำอย่างต่อเนื่องในปีนี้ยังคงเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย และรักษาสภาพคล่องให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้บริษัทสามารถดำเนินงานผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ รวมถึงชะลอและเลื่อนการลงทุนใหม่ ๆ ออกไป แต่ในส่วนของโครงการลงทุนเดิมตามแผนที่เตรียมเริ่มลงทุนไว้แล้วก็จะยังคงลงทุนต่อ ซึ่งเน้นไปที่การลงทุนโรงแรม HOP INN จำนวน 5 แห่ง แบ่งเป็นในไทย 3 แห่ง และฟิลิปปินส์ 2 แห่ง เงินลงทุน 700 ล้านบาท จะเริ่มลงทุนในช่วงครึ่งหลังปีนี้