STEC คาดงานใหม่ปีนี้ได้ราว 7 พันลบ.ต่ำกว่าคาด ลุ้นงานใหม่จากเอกชน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 20, 2007 12:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC)คาดปี 50 ได้งานใหม่ไม่น้อยกว่า 7 พันล้านบาท ต่ำกว่าทุกปีที่ผ่านมาที่ได้งานใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากงานภาครัฐชะลอไปมากในช่วงครึ่งปีแรก แต่ช่วงครึ่งปีหลังน่าจะได้ไม่น้อยกว่า 5 พันล้านบาท  โดยเตรียมเข้าร่วมประมูลงาน 8-9 โครงการทั้งในและต่างประเทศ รวมมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท  พร้อมทยอยลดสัดส่วนงานภาครัฐในปีหน้าเหลือ 60-65% จาก 90% ในปีนี้ 
นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการรองผู้จัดการสายงานการเงินและบริหาร STEC กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า STEC จะได้งานใหม่ไม่น้อยกว่า 5 พันล้านบาท รวมกับเมื่อช่วงต้นปีได้งานแล้ว 2 พันล้านบาท ดังนั้นทั้งปีนี้น่าจะได้งานใหม่ไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนจะพบว่างานใหม่น้อยลงจากที่เคยได้ปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
ในช่วงครึ่งปีแรกไม่มีงานภาครัฐเข้ามาเลย โดยบริษัทได้งานเพียงงานเดียวคือโครงการก่อสร้างทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.)มูลค่างาน 2.12 พ้นล้านบาท ส่วนงานใหม่ที่จะเข้าประมูลในครึ่งปีหลังจะเน้นงานภาคเอกชนที่ส่วนใหญ่เป็นงานโรงงานปิโตรเคมี ซึ่งให้มาร์จิ้นสูงกว่า 10%
"สิ้นปีคาดว่าเราจะมีงานในมือ(backlog)ไม่น่าจะต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ก็ยังโอเคอยู่ ไม่ได้มีปัญหาอะไร"นายวรพันธ์กล่าว
ล่าสุดเมื่อ 27 ก.ค. STEC ได้งานโครงการก่อสร้างอาคารต้นแบบการจัดการศึกษา 1 หลัง ณ โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) มูลค่างาน 247.49 ล้านบาท
นายวรพันธ์ กล่าวว่า บริษัทได้ส่งราคาเข้าร่วมประมูลไป 8-9 โครงการทั้งในและต่างประเทศ รวมมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยงานต่างประเทศมี 3-4 โครงการ ได้แก่ กาตาร์ สิงคโปร์ ตะวันออกลาง รวมทั้ง มัลดีฟส์ ที่เป็นงานสร้างโรงแรม เป็นต้น นอกจากนี้ จะเข้าไปศึกษาข้อมูลเพื่อเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐในอินเดีย ได้แก่ งานโรงไฟฟ้าที่ยังขาดแคลนอยู่มาก ซึ่งจะเข้าไปเป็น Sub-contract
ส่วนที่เวียดนาม กัมพูชา และลาว บริษัทยังไม่ค่อยสนใจ เพราะความเสี่ยงจะสูงจากงบประมาณภาครัฐค่อนข้างน้อย แต่หากโครงการนั้นได้รับการสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(ADB)หรือสถาบันการเงินต่างประเทศก็จะพิจารณา
อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทยังมีงานในมือ 2.3 หมื่นล้านบาท ที่จะสามารถทยอยรับรู้ได้ถึงปี 51 จากที่คาดว่าปีนี้รับรู้รายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท
"ปีนี้ งานจากแอร์พอร์ตลิงค์ยังมีการรับรู้รายได้อยู่ประมาณ 4 พันล้านบาท ทำให้มาร์จิ้นส่งผลให้กำไรยังไม่ดี แต่ก็ยังเชื่อว่าจะพลิกมาเป็นกำไรได้จากปีก่อนที่ขาดทุน 1.7 พันล้านบาท ส่วนมาร์จิ้นขณะนี้ต้องมีการประเมินใหม่เพราะราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด ราคาเหล็กซึ่งช่วงนี้ราคาทรงตัว" นายวรพันธ์ กล่าว
ดังนั้น สัดส่วนงานภาครัฐจะเปลี่ยนสัดส่วนปีนี้ไม่เกิน 70% จาก 90%ในปีก่อน และปีหน้าอาจปรับลดลงเหลือ 60-65% ขณะที่งานภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 30-35% และคาดว่าจะเพิ่มมากกว่านี้จากแนวโน้มเอกชนจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น และงานภาคเอกชนมีราคาก่อสร้างเหมาะสม ตัวสัญญาเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งคาดว่าในปีหน้าบริษัทจะมีงานต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย
*ถ้าราคากลางไม่เป็นธรรมพร้อมถอนตัวร่วมประมูลรถไฟทางคู่-สายสีแดง
กรรมการรองผู้จัดการสายงานการเงินและบริหาร STEC กล่าวว่า บริษัทจะต้องขอศึกษาทีโออาร์ในโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-ตลิ่งชัน) โดยเบื้องต้นทีโออาร์ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก รวมทั้งราคากลางก็ยังไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่ อาจจะสะท้อนความเป็นจริง
"ไม่ใช่เฉพาะเราที่ไม่ชอบใจทีโออาร์ที่จะให้ผู้รับเหมาไปไล่ที่เอาเอง เราไม่มีอำนาจทางกฎหมาย คงต้องดูทีโออาร์ ถ้าเราจะต้องไปทำอย่างนั้น มันก็คงยาก ทุกรายมองเหมือนกันหมด ถ้าให้เอกชนไปเวนคืนที่ดินเองจะเป็นความเสี่ยงมาก"นายวรพันธ์ กล่าว
แต่เรื่องการติดตามการประมูลเป็นเรื่องที่บริษัทต้องหาข้อมูลมาประเมิน เมื่อรับฟังความคิดเห็นร่วมกับ รฟท.จึงจะค่อยมาตัดสินใจ ขณะที่รอบนี้มีคู่แข่งมาก เพราะงานภาครัฐขนาดใหญ่เพิ่งจะเปิดประมูลได้หลังจากชะลอมานาน
ส่วนการเปิดประมูลแบบอิเล็คทรอนิกส์ (e-Auction) นั้นก็มีข้อเสียว่าการประมูลใส่สูงกว่าราคากลางไม่ได้ ซึ่งต้องไปดูว่าราคากลางเป็นราคาที่ถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่ว่ากำหนดราคากลางมานานแล้ว ราคาวัสดุปรับชึ้นไปแล้ว ทำให้ราคากลางไม่สะท้อนความเป็นจริง จึงเห็นว่าไม่ได้เป็นธรรม
"ถ้าเห็นว่าราคากลางไม่สะท้อนความเป็นจริง STEC ก็จะไม่เข้าประมูล เราคิดว่าไม่เสียเปรียบ เราไม่เสียดาย ประเด็นความสำคัญอยู่ที่ราคากลาง"นายวรพันธ์ กล่าว
*รอ รฟท.ขยายเวลาแอร์พอร์ตลิงค์ตามที่ตกลง
นายวรพันธ์ กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(แอร์พอร์ตลิงค์) แม้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)ยังไม่แจ้งอย่างเป็นทางการว่าจะขยายเวลาก่อสร้างให้อีก 463 วันตามที่ได้ตกลงกันไว้ และเชื่อว่าจะสร้างแล้วเสร็จได้ทันเวลาดังกล่าว แต่หากไม่เป็นไปตามที่มีข้อตกลงกันไว้ก็จะพิจารณาเรียกร้องตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขสัญญา
"การขยายระยะเวลาสรุปไปแล้วกับทางการรถไฟฯ ระบุไว้ที่จำนวน 463 วัน หรือประมาณต้นปี 52 แต่ตรงนี้ยังไม่มีการอนุมัติอย่างเป็นทางการ แม้ผ่าน 7 ส.ค.ไปแล้ว ยังไม่มีการอนุมัติการขยายระยะเวลาอย่างเป็นทางการ เราทำหนังสือบอกหลายครั้งแล้ว จริง ๆ 463 วันเราทำได้อยู่แล้วไม่ช้ากว่านั้น"นายวรพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ ตามสัญญาเดิม โครงการนี้จะต้องก่อสร้างงานด้านโยธาเสร็จในวันที่ 7 ส.ค. 50 และแล้วเสร็จทั้งโครงการในเดือนพ.ย. 50 แต่ก็ติดปัญหาที่มีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ทำให้การก่อสร้างล่าช้ากว่าแผนมาก
"ผมก็เดินตามสัญญา ก่อสร้างไป พอตกลงกันได้ขยายเวลาได้ก็ต้องนำไปสู่การแก้ไขสัญญา เราก็ยึดตรงนั้น เราคิดว่าโครงการนี้จะไม่มีการสำรองเพิ่ม" นายวรพันธ์กล่าว
เมื่อไตรมาส 2/49 STEC ได้บันทึกสำรองผลขาดทุนของโครงการนี้เป็นจำนวนเงิน 900.65 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯประสบผลขาดทุน 1.78 พันล้านบาท ในปีก่อน

แท็ก (STEC)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ