นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไพโอเนียร์ มอเตอร์ (PIMO) คาดว่า กำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่จากเดิมที่เคยทำไว้เมื่อปี 59 ที่ระดับ 40.36 ล้านบาท หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิแล้ว 30.51 ล้านบาท จากการผลิตมอเตอร์ที่ใช้ในสระว่ายน้ำ ประเภทมอเตอร์ความเร็วปรับรอบได้ variable speed motor (DC) ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อจากสหรัฐเข้ามาเต็มจำนวนจนถึงเดือน ธ.ค.โดยกลุ่มสินค้าดังกล่าวมีมาร์จิ้นค่อนข้างสูง
สำหรับคำสั่งซื้อที่เข้ามามากขึ้นดังกล่าว เป็นผลจากการที่สหรัฐเตรียมประกาศห้ามจำหน่ายมอเตอร์ความเร็ว 1 รอบ single speed motor (AC) ที่ใช้กับสระว่ายน้ำ ตั้งแต่ในวันที่ 18 ก.ค. 64 ขณะที่งบริษัทมีนวัตกรรมการผลิตสินค้าประเภท DC หรือมอเตอร์ชนิดพิเศษ BLDC ที่ทางบริษัทซื้อสิทธิบัตรในการผลิตสินค้ามาในช่วงก่อนหน้านี้จะเข้ามาเป็นสินค้าทดแทนประเภท AC โดยสิทธิบัตรดังกล่าวจะทำให้บริษัทเป็นเพียงรายเดียวที่สามารถผลิตสินค้าดังกล่าวได้
นอกจากนั้น บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ราว 26 ล้านบาท เพื่อที่จะขยายกำลังการผลิตมอเตอร์ DC เป็น 120 ลูกต่อวัน ในเดือน พ.ย. นี้ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ 50-70 ลูกต่อวัน ขณะที่มอเตอร์ AC ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 400 ลูกต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ปรับลดเป้าหมายรายได้ลงเหลือเติบโตราว 10% จากเดิมที่คาดเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% หรือมีรายได้ราว 800 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 663.78 ล้านบาท เป็นผลจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าส่วนใหญ่ชะลอคำสั่งซื้อออกไป แต่ภายหลังจากสถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นคำสั่งซื้อก็เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ขณะที่บริษัทหันมาเน้นสินค้ามาร์จิ้นสูงแทนการเน้นเพิ่มยอดขาย
"แม้ว่าเราจะปรับเป้าหมายรายได้ลง เพราะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้ออกไป แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันคำสั่งซื้อกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ซึ่งเราได้เน้นขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงอย่างมอเตอร์ DC ที่ปัจจุบันตลาดในสหรัฐมีความต้องการจำนวนมาก หลังจากที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ผู้บริโภคหันมาใช้สระว่ายน้ำส่วนตัวมากขึ้น ก็จะผลักดันอัตรากำไรสุทธิปีนี้สามารถขึ้นไปที่ 10% ได้ จากครึ่งปีแรกมาอยู่ที่ระดับ 8.77% แล้ว และทำให้ปีนี้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง"นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวว่า สำหรับปี 64 บริษัทคาดว่ารายได้จะกลับไปที่เป้าหมาย 800 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 63 ราว 15% โดยบริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้อีกกว่า 100 ล้านบาทเพื่อที่จะขยายกำลังการผลิตมอเตอร์ AC ราว 50 ล้านบาท และใช้อีกราว 50 ล้านบาทในการขยายกำลังการผลิตมอเตอร์ DC ให้เป็น 240 ลูกต่อวัน
พร้อมกันนั้น บริษัทเตรียมที่จะเจรจากับลูกค้ารายใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มมอเตอร์สำหรับสระว่ายน้ำในสหรัฐที่มี 14-17 ราย หลังจากที่บริษัทขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอกับความต้องการแล้ว เชื่อว่าจะมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาหนุนการเติบโตในปี 64 ด้วย
ส่วนแผนการเจรจาพันธมิตรเพื่อร่วมลงทุนนั้น ในปัจจุบันได้ชะลอนออกไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้พันธมิตรและลูกค้าต่าง ๆ ไม่สามารถเข้ามาเจรจาได้ อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์คลี่คลายและนักลงทุนต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยได้ บริษัทก็จะเดินหน้าเจรจาต่อไป ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการผลิตพัดลมที่ต้องการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเพื่อลดปัญหาการส่งสินค้าไปยังสหรัฐ
รวมทั้งบริษัทยังสนใจลงทุนระบบจอดรถอัตโนมัติ เนื่องจากมีกำไรดี อัตราการเติบโตสูง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อร่วมลงทุนกับพันธมิตร 1 รายในประเทศ คาดจะได้ความชัดเจนว่าจะลงทุนหรือไม่ในช่วงปลายปี 63 และหากเข้าร่วมจะมีนโยบายเข้าลงทุนสัดส่วน 50%
สำหรับราคาหุ้น PIMO ที่มีความผันผวนในช่วงที่ผ่านมา นายวสันต์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น โดยมองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นหรือลงก็อยู่ที่นักลงทุนพิจารณา ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำราคาใด ๆ
"ช่วงที่ผ่านมากลับมาเริ่มให้ข้อมูลเพราะปริมาณบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น จึงอยากให้นักลงทุนเห็นและเข้าใจเรามากขึ้น ส่วนการขึ้น-ลงของราคาหุ้นจะเป็นอย่างไรชึ้นกับนักลงทุน แต่ถาใครจะปั่นหุ้นหรือไม่ เราก็ไม่ได้เข้าไปยุ่ง และพร้อมจะขายด้วยถ้า P/E มันขึ้นไป 40-50 เท่า"นายวสันต์ กล่าว
หุ้น PIMO ช่วงบ่ายอยู่ที่ 1.37 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 1.48%