นายคมสัน ผลานุสนธิ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจทั่วโลก สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดที่รวดเร็วและยอดของผู้ติดเชื้อมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก
แต่สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนี้ มองธีมการลงทุนที่ให้ความสนใจ คือ ธีมลงทุนในกลุ่ม The winner ที่ได้รับประโยชน์ท่ามกลางการแพร่ระบาด โดยบริษัทที่เป็น The winner จะต้องมี Business Model ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรและการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งมองว่าบริษัทที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะสามารถสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาว (Secular Growth)
และมองว่าธีมที่น่าสนใจถัดมา คือ China New Economy เนื่องจากสามารถจัดการ และควบคุมในการแพร่ระบาดได้ดี อีกทั้งภาคการบริโภคในประเทศ ยังมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ถ้าพิจารณาถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียน ประเทศที่ได้ประโยชน์จากหลังจากการเกิดการแพร่ระบาด ได้แก่ ประเทศเวียดนาม เนื่องจากมีการควบคุมสถานการณ์ผู้ติดเชื้อได้ดีเมื่อเทียบกับประเทศกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ทั้งยังได้ประโยชน์จากบริษัทต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่นมีการย้ายฐานการผลิตส่วนใหญ่มาสู่เวียดนาม ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนที่สำคัญสำหรับการเติบโตของประเทศเวียดนามในระยะยาว
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวในประเทศจะชะลอตัวลง จากการปิดประเทศเพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด แต่ทางภาครัฐบาลเองก็ได้ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวในประเทศกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และจากมาตรการควบคุมโรคที่ดี ส่งผลให้ภาพรวมของประเทศไทยดีขึ้น และน่าจะเป็นประเทศยอดนิยมในการท่องเที่ยวหลังจากการเปิดประเทศ
สำหรับประเด็นที่อยากให้จับตาในครึ่งปีหลังนั้นจะมี 6 ประเด็นหลักดังนี้
1. การกระตุ้นเศรษฐกิจที่มูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และจากรัฐบาลทั่วโลก โดยใน 7 เดือนที่ผ่านมามีการกระตุ้นจากภาครัฐและอัดฉีดเงินไปสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยวงเงิน 3.6 ล้านล้านดอลลาห์สหรัฐ ซึ่งเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าปี 2008 ในช่วงที่เกิดวิกฤต Subprime Crisis ทั้งยังมีแผนที่จะอนุมัติงบประมาณอีกจำนวนนึงเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐ
2. การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายทั่วโลก โดยธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางหลัก ๆ ทั่วโลก ได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีตนั้น ด้วยปริมาณเม็ดเงินจำนวนมหาศาล จะสามารถช่วยพยุงสภาพคล่องในภาคธุรกิจ และผลักดันให้ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ยังอยู่ในระดับสูงต่อไป
3. สถานการณ์เรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 แม้ว่ายอดผู้ป่วยทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้ป่วยที่มีอาการของโรคในขั้นรุนแรงนั้นลดลง ส่งผลให้ Sentiment ของการลงทุนโดยรวมอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น
4. วัคซีนเพื่อป้องกันโควิด-19 ใกล้ความสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว ซึ่งผลการทดลองของวัคซีน 8 ตัว ที่ขณะนี้อยู่ในเฟส 3 คาดว่าจะมีความคืบหน้าในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
5. จากสงครามการค้าสู่การแบนบริษัทเทคโลยียักษ์ใหญ่ของจีน จุดเริ่มต้นในครั้งนี้นั้นมาจากการที่สั่งปิดสถานกงศุลของซึ่งกันและกัน ลุกลามไปถึงปธน.ทรัมป์เซ็นคำสั่งห้ามสหรัฐฯ ทำธุรกิจกับบริษัท Tencent และ ByteDance เจ้าของแอพพลิเคชั่นชื่อดังอย่าง WeChat และ TikTok รวมทั้งกำลังจะพิจารณาแบน เว็บไซด์ อีคอมเมิช ชื่อดังอย่าง "Alibaba" เพิ่มเติม ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศจีนอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีของจีนมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากสหรัฐค่อนข้างน้อย
6. สถานการณ์การเลือกตั้งที่เข้มข้น Joe Biden มีคะแนนความนิยมเหนือ Donald Trump ในช่วงหลัง เป็นผลมาจากความล้มเหลวในการจัดการการแพร่ระบาดโควิด-19 และการประท้วงของคน African-American แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด ในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากประเด็นนี้อาจจะส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนในอนาคตได้อย่างมีนัยยะ
จากปัจจัยส่วนใหญ่นั้นส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก จากการมีสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ มีการใช้นโยบายทางการเงินและการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการควบคุมอัตราผู้ติดเชื้อที่ลดลง และการแนวโน้มความสำเร็จในการคิดค้นวัคซีน ซึ่งจะมาสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง
ทาง บลจ. แอสเซท พลัส จึงแนะนำกองทุนเด่นที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทนแก่นักลงทุน แบ่งตามธีมการลงทุน 7 กองทุนเด่น ได้แก่ ASP-DPLUS, ASP-IHEALTH, ASP-EVOCHINA, ASP-X, ASP-SME, ASP-VIET และ ASP-TOPBRAND