MJD มั่นใจรายได้ปี 63 โตกว่าปีก่อน มียอดรอโอน 2-3 พันลบ.ใน H2/63, ธุรกิจโรงแรมทยอยฟื้นตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 1, 2020 18:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) เปิดเผยว่า บริษัทยังมั่นใจรายได้ปี 63 จะสูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 6.2 พันล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากสถานการ์ณโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลายและสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างดี ประกอบกับการผ่อนคลายล็อกดาวน์ทำให้การโอนโครงการเริ่มสามารถกลับมาดำเนินการได้มากขึ้น ทำให้แนวโน้มการโอนในครึ่งปีหลังเริ่มเห็นสัญญาณการโอนกลับมาดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีการทยอยโอนโครงการที่เป็นมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาราว 2-3 พันล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 9 พันล้านบาท ซึ่งส่วนที่เหลือจะทยอยโอนในปี 64 ทั้งหมด

ขณะที่ด้านธุรกิจโรงแรมในช่วงครึ่งปีหลังเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน จากปัจจัยหนุนการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งโรงแรมในเครือของบริษัทตั้งอยู่ในจังหวัดที่ใกล้กับกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไปเที่ยวด้วยรถยนต์ส่วนตัวได้ ได้แก่ มาราเกซ หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และเซ็นทรา บาย เซ็นทารา มาริส รีสอร์ท จอมเทียน โดยแนวโน้มอัตราเข้าพักเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น แต่ยังไม่ได้สูงมากอย่างในช่วงภาวะปกติ เพราะยังขาดกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ แต่ถือว่าโรงแรมเริ่มกลับมาดำเนินการได้ ทำให้ยังสามารถสร้างรายได้เข้ามาให้กับบริษัท และเข้ามาเสริมรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังได้บางส่วน ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของบริษัทยังมาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด 90% และรายได้ประจำจากธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ 10%

"มองว่าผลงานของ MJD ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/63 ซึ่งเป็นช่วงที่เรา shock การโอนโครงการก็ไม่สามารถทำได้ และโรงแรมก็ได้ปิดให้บริการไป แต่พอเริ่มคลายล็อกดาวน์ก็เริ่มทำการโอนโครงการได้มากขึ้น และโรงแรมของเราก็ได้กลับมาเปิดให้บริการ และไม่มีเอฟเฟ็กต์มากจากการท่องเที่ยว เพราะเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ทั้งหัวหินและพัทยา ซึ่งนักท่องเที่ยวในประเทศก็มาเที่ยวกันอยู่แล้ว ทำให้ครึ่งหลังนี้ผลงานเราก็กลับมาฟื้นตัวขึ้น"นางสาวเพชรลดา กล่าว
สำหรับการเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทไม่มีแผนการเปิดโครงการใหม่ แต่จะเป็นการทำโปรโมชั่นกระตุ้นการขายโครงการที่ยังเหลือขายทั้งโครงการพร้อมอยู่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพื่อระบายสต็อกให้ลดลง และสามารถปิดการขายในบางโครงการได้ โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีสต็อกรวมทั้งหมด 7-8 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะพยายามระบายสต็อกออกไปให้ได้มากที่สุด

ในส่วนของโครงการ METRIS จะมีการทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องทั้ง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ METRIS พระราม 9-รามคำแหง ปัจจุบันเหลือขาย 30% โครงการ METRIS ลาดพร้าว และโครงการ METRIS พัฒนาการ-เอกมัย ปัจจุบันเหลือขาย 50% ซึ่งมอบส่วนลดและราคาพิเศษให้กับลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น

นางสาวเพชรลดา กล่าวว่า บริษัทมองภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังนี้เริ่มฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากผ่านพ้นช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงไปแล้วในช่วงไตรมาส 2/63 ทำให้กิจกรรมทุกอย่างหยุดชะงักชั่วคราว แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวต่อเนื่องมา ทำให้การเปิดโครงการใหม่ยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวังเรื่องการลงทุน เพราะกำลังซื้ออาจจะยังชะลอตัวอยู่ ทำให้การขายอาจจะทำได้ช้า ซึ่งผู้ประกอบการทุกคนจะต้องวางแผนการลงทุนเป็นอย่างดี มีการวิเคราะห์สถาการณ์ต่างๆเพื่อวางแผนรับมือล่วงหน้า และบริหารต้นทุนกับสภาพคล่องให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อทำให้บริษัทสามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤตในครั้งนี้ไปได้

อย่างไรก็ตามการซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าสิ่งหลักที่ลูกค้าให้ความสำคัญ คือ การเลือกทำเลที่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน (Mass Transit) โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อโครงการเพื่ออยู่อาศัยจริง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ต้องตอบโจทย์การเดินทาง และเข้าถึงเมืองได้ง่าย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของโครงการคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการลงทุนสำหรับผู้ซื้อ ประกอบกับการออกแบบโครงการที่ใส่ใจในรายละเอียดการอยู่อาศัยทั้งฟังก์ชั่นในห้องและพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบาย ส่งผลต่อการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่เร็วขึ้นของลูกค้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ