นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/63 จะเป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดของปีนี้ เนื่องจากมีการกระจุกตัวของการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเริ่มทยอยโอน 4 โครงการ มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท ได้แก่โครงการศุภาลัย ลอฟท์ สถานีแยกไฟฉาย, โครงการศุภาลัย ออเรนทัล, โครงการศุภาลัย ปาร์ค ตลาดพลู และโครงการศุภาลัย ไพร์ม พระราม 9 ซึ่งบางโครงการไดิเริ่มทยอยโอนไปบ้างแล้วในช่วงเดือนก.ค.ทีผ่านมา แต่ส่วนใหญ่การโอนจะไปกระจุกตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เป็นแรงหนุนให้รายได้ของบริษัทในปี 63 เข้าเป้า 2.4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่กลยุทธ์ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้จะเน้นไปที่การเปิดโครงการแนวราบใหม่ จำนวน 10 โครงการ มูลรวมกว่า 9 พันล้านบาท และเตรียมจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคและเร่งการโอนให้มากขึ้น โดยที่ในช่วงที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบครึ่งปีแรกสูงกว่าคอนโดมิเนียม แต่หลังจากที่โครงการคอนโดมิเนียมเสร็จใหม่เริ่มทยอยโอนในช่วงครึ่งปีหลัง จะทำให้สัดส่วนรายได้กลับมาใกล้เคียงกันที่ 50:50
นายไตรเตชะ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังการฟื้นตัวของสถานการณ์โควิด-19 ปัจจุบันมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้ผู้บริโภคคำนึงถึงความสำคัญของสุขอนามัย และความปลอดภัยในชีวิตส่วนตัวมากขึ้น สอดคล้องกับยอดขายโครงการแนวราบของบริษัทที่เติบโตไปในทิศทางที่ดี ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคนั้นมีอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ในระยะข้างหน้าเมื่อภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น กลุ่มที่อยู่อาศัยระดับบนจะเป็นกลุ่มที่กลับมาฟื้นตัวขึ้นก่อนกลุ่มอื่นๆ เพราะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยระดับบนส่วนใหญ่เป็นประกอบการและเจ้าของกิจการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์กลุ่มแรกๆเมื่อเศรษฐกิจฟื้นขึ้น และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ทำให้เมื่อเศรษฐกิจผงกหัวขึ้น จะเป็นผลบวกต่อที่อยู่อาศัยระดับบนที่จะกลับมาฟื้นตัวขึ้นตาม และเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยที่บริษัทจะมีการขยับมาขยายฐานกลุ่มลูกค้าตลาดบนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ จากปัจจุบันโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่บริษัทพัฒนาราคาเฉลี่ย 4 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในตลาดระดับกลาง
"ตลาดที่มีศักยภาพที่มีกำลังซื้อ และไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการขอสินเชื่อจากแบงก์มากนักเป็นกลุ่มตลาดที่ระดับบน ซึ่งเป็นลูกค้าผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ ส่วนใหญ่จะซื้อที่อยู่อาศัยระดับราคาตั้งแต่ 250,000 บาท/ตารางวาซึ่งเป็นกลุ่มที่แบงก์ไม่ค่อยมีปัญหา และเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ถ้าเศรษฐกิจผงกหัวกลับมา กลุ่มนี้ก็จะกลับมาฟื้นเป็นกลุ่มแรกๆ"นายไตรเตชะ กล่าว
สำหรับโครงการแนวราบระดับบนที่บริษัทเปิดตัวล่าสุด คือ โครงการ ศุภาลัย พรีมา วิลล่า ปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 2 มูลค่า 1.1 พันล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 56 ยูนิต ภายใต้แนวคิด "The New Privacy" บนพื้นที่ 26 ไร่รองรับยุค New Normal โดยทุกพื้นที่ภายในบ้านได้สร้างสรรค์มาเพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริงซึ่งจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ (Pre-Sales) ในวันที่ 26-27 ก.ย.นี้ ณ Sales Gallery ของโครงการ คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
ส่วนปัจจัยที่บริษัทมองว่ายังเป็นอุปสรรคต่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์อยู่นั้น เป็นเรื่องเกณฑ์ของมาตรการ LTV ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดกำลังซื้อของลูกค้า และการจัดประเภทกลุ่มบุคคลของมาตรการ LTV ในเรื่องบ้านหลังที่ 2 ทำให้ลูกค้าบางรายติดปัญหาดังกล่าวจากการถูกนำไปจัดกลุ่มเข้าเกณฑ์บ้านหลังที่ 2 ทั้งที่จริงแล้วเป็นคนละประเภท ทำให้ลูกค้ารายนั้นๆที่เข้าเกณฑ์ไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการและลูกค้าเสียโอกาส ซึ่งมองว่ากณฑ์LTV ดังกล่าวควรผ่อนคลาย หรือยกเลิกไป
นอกจากนี้มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองควรขยายเพดานการลดหย่อนเพิ่มมากขึ้นจากราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท เพราะปัจจุบันกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมีสัดส่วนที่ไม่สูงมาก หากขยายเพดานลดหย่อนค่าธนรมเนียมการโอนและการจดจำนองได้ถึงระดับราคา 5 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนครึ่งหนึ่งของตลาด จะช่วยจูงใจการซื้อที่อยู่อาศัยในหลายกลุ่มมากขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยระดับกลาง ที่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการกู้สินเชื่อจากแบงก์