นายวินิตย์ ปิยะเมธาง กรามการผู้จัดการ บมจ.ไมโครลิสซิ่ง (MICRO) คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ได้ในช่วงปลายเดือนก.ย.63 และจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ภายในไตรมาส 4/63 ตามแผนงานที่กำหนด
ขณะที่ช่วงราคาเสนอขายหุ้นไ IPO ปัจจุบันมีบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ออกมาหลายเจ้า ให้ช่วงราคาไว้ที่ 3.20-3.78 บาท/หุ้น หรือเฉลี่ย 3.40 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่ได้กำหนดราคาเสนอขายในขระนี้ แต่จะนำบทวิเคราะห์ดังกล่าวไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
อนึ่ง MICRO เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง และสินเชื่อประเภทอื่นที่มีรถบรรทุกมือสองเป็นหลักประกัน มีแผนจะเสนอขาย IPO จำนวน 235 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.13% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล.เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
การระดมทุนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ, ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 700 ล้านบาท, ลงทุนขยายอาคารสำนักงาน และลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
นายวินิตย์ กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจจากนี้ บริษัทตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 30% และจะเติบโตแตะระดับ 5,000 ล้านบาทภายในปี 65 จากไตรมาส 2/63 มีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2,141 ล้านบาท และมีเป้าหมายจะควบคุมหนี้ที่มิก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่ให้เกิน 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.7% แต่หากรวมรถยึดจะอยู่ที่ 2.9%
สำหรับภาพรวมธุรกิจ MICRO เป็นหนึ่งในผู้นำในการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองของประเทศ ด้วยประสบการณ์และความชำนาญในการดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลากว่า 25 ปี ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุก รถบรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ 12 ล้อ และรถพ่วงมือสอง สำหรับใช้ในการประกอบธุรกิจ
นอกจากนี้บริษัทยังให้บริการสินเชื่อรถเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ประเภทอื่น เช่น รถหัวลาก และรถบรรทุกเฉพาะกิจต่างๆ เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น บริษัทมุ่งเน้นให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองเฉพาะรุ่น และยี่ห้อที่มีตลาดซื้อขายรองรับ เช่น อีซูซุ (ISUZU) ฮีโน่ (HINO) และฟูโซ่ (FUSO) เป็นต้น โดยมีระยะของสัญญาเช่าซื้อระหว่าง 12 - 60 เดือน มีอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ (Flat Rate) อยู่ระหว่าง 8-15% ต่อปี
ปัจจุบัน MICRO มีทุนจดทะเบียนจำนวน 935 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 935 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาทต่อหุ้น มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 700 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญจำนวน 700 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชน ทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 935 ล้านบาท นโยบายการจ่ายงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามกฎหมายกำหนด
นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (โรดโชว์) ของ MICRO ในครั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนมีความเข้าใจในธุรกิจ เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่ง และโอกาสการเติบโตในอนาคต
โดยจุดแข็งของ MICRO เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองรายใหญ่ของประเทศ พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง มีเครือข่ายผู้ประกอบการเต็นท์รถบรรทุกมือสอง และนายหน้าจากทั่วประเทศรวมเกือบ 450 ราย มีทีมบุลากรที่มีความแข็งแกร่ง มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจ ทั้งด้านการตลาด การวิเคราะห์สินเชื่อ การตรวจสอบสภาพการใช้งานรถบรรทุกมือสอง รวมถึงการติดตามเร่งรัดหนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญในธุรกิจสินเชื่อรถบรรทุกมือสอง และด้วยระบบการตรวจสอบสินเชื่อที่เป็นมาตรฐานเดียวกับผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรายใหญ่อื่นๆ มีระบบการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยส่งเสริมให้สัดส่วนลูกหนี้ NPL ลดลงอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการกระจายพอร์ตสินเชื่อที่หลากหลายรองรับการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
อีกทั้ง ธุรกิจของ MICRO เป็นธุรกิจที่การแข่งขันไม่รุนแรง อุตสาหกรรมเติบโตแม้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยรับสูง มีการครอบคลุมความเสี่ยงและค่าใช้จ่าย มีรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความสามารถในการทำกำไรที่ดี
โครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ รายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับตามสัญญาเช่าซื้อ 84% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการต่างๆ จากการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ 14% และรายได้อื่นๆ 2% ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะนำเสนอบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจทั้งจากลูกค้าผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับผลประกอบการของกลุ่มบริษัทฯ มีการเติบโตต่อเนื่อง
บริษัทมีรายได้รวมในปี 60-62 จำนวน 227.0 ล้านบาท 258.6 ล้านบาท และ 330.2 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเท่ากับ 24.4 % ต่อปี มีกำไรสุทธิ 60.8 ล้านบาท 89.9 ล้านบาท และ 110.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 26.8%, 34.8% และ 33.5% ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (CAGR) ที่สูงถึง 30.6 % ต่อปี
และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 63 บริษัทมีรายได้ 202.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 147.7 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 62.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 41.1 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 27.8% และ 30.8% ตามลำดับ กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ดอกเบี้ยเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น
ณ วันที่ 30 ก.ย.62 บริษัทมีบัญชีลูกหนี้จำนวนทั้งสิ้น 3,701 สัญญา และมียอดลูกหนี้เช่าซื้อคงเหลือ (ก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) จำนวน 1,852.7 ล้านบาท ยอดจัดสินเชื่อตามภูมิภาคในพื้นที่ให้บริการหลักที่ภาคกลาง สัดส่วนกว่า 53% รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกว่า 21% และมีสัดส่วนหลักประกันเป็นรถ 10 ล้อ / 12 ล้อ สัดส่วนสูงสุดของพอร์ตราว 45%