หุ้น SAWAD ราคาขยับขึ้น 2.82% มาอยู่ที่ 45.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 165.30 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.37 น. โดยเปิดตลาดที่ 44 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 45.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 43.75 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) หลังมองทิศทางผลดำเนินงานในไตรมาส 3/63 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หนุนด้วย 3 ปัจจัยหลักคือ การให้สินเชื่อใหม่ในเดือน ก.ค.-ส.ค. ฟื้นตัวขึ้นมาเทียบกับไตรมาส 2/63 หลังเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจ และรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าขายประกันภัยปรับตัวดีขึ้นตามการให้สินเชื่อหลังปลดล็อกดาวน์ รวมถึงการตั้งสำรองของ SAWAD มีแนวโน้มลดต่ำลงในครึ่งปีหลัง เพราะในครึ่งปีแรก บริษัทได้ตั้งสำรองพิเศษ Management Overlay ไปแล้ว พร้อมระบุว่าการตั้งสำรองปกติของบริษัทในกรณีที่ไม่มีการ Write-off จะอยู่ที่ไตรมาสละ 40-50 ล้านบาท (การตั้งสำรองตาม ECL Model) ต่ำกว่าที่ประเมิน (คาดไตรมาสละ 120-130 ล้านบาท)
ด้านผู้บริหารประเมินผลกระทบจากมาตรการลดเพดานดอกเบี้ยของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจาก 28% เหลือ 24% และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์จาก 36% เหลือ 33% กระทบผลดำเนินงานเพียงเล็กน้อยเนื่องจากมีสัดส่วนของสินเชื่อที่ต้องปรับลดดอกเบี้ยลงไม่มาก (สินเชื่อจำนำทะเบียนรถกลุ่ม High Risk ในรุ่นที่มีการแข่งขันต่ำ และสินเชื่อนาโนที่คิดเป็นเพียง 7-10% ของพอร์ตรวม) อีกทั้งมาตรการดังกล่าวมีผลเฉพาะกับสินเชื่อใหม่ที่เริ่มปล่อยตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นไป (ไม่มีผลต่อสัญญาสินเชื่อเดิม) นอกจากนี้หากผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทถูกแทรกแซงจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มากขึ้น บริษัทจะหันมารุกตลาดสินเชื่อ Land for Cash เพิ่มเติ่ม ซึ่งยังสามารถคิดดอกเบี้ยได้สูง (สูงสุด 36% ต่อปี) มี LTV ต่ำ และการแข่งขันไม่สูงนัก
ส่วนประเด็นการแข่งขันจากธนาคารออมสิน ผู้บริหาร ระบุว่าอยู่ระหว่างติดตามแผนธุรกิจเพิ่มเติมเพราะยังไม่เห็นการทำตลาดในพื้นที่ที่บริษัทให้บริการ ทั้งนี้ ผู้บริหารยังไม่กังวลต่อการแข่งขันในตลาดมากนัก เพราะคาดฐานลูกค้าไม่น่าจะทับซ้อนกัน อีกทั้งบริษัทมีข้อได้เปรียบจากจำนวนสาขาที่ครอบคลุมกว่าและความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้า รวมถึงกระบวนการติดตามและจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกเล็กน้อย โดยคาด SAWAD จะมีกำไรที่พลิกกลับมาโตทั้ง QoQ และ YoY หนุนด้วยการเติบโตของสินเชื่อที่เร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปี บวกกับรายได้ค่าธรรมเนียมขายประกันที่เพิ่มขึ้นช่วยชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมติดตามหนี้ที่ลดลงในช่วงที่ผ่อนคลายการติดตามลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนี้บริษัทมีแผนลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้วยการนำเทคโนโลยีมาทดแทนพนักงาน Back Office ทำให้คาด Cost to Income Ratio จะทยอยลดลง อีกทั้งการตั้งสำรองมีโอกาสต่ำกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า เพราะจะไม่มีการตั้งสำรอง Management Overlay เช่นในครึ่งปีแรก ทำให้คาดทั้งปี 2563 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 4,247 ล้านบาท โต 13.1%YoY ตามประมาณการเดิม