นายณวรรธน์ ตริยพงศ์พัฒนา รองประธานกรรมการบริหาร บมจ.ยูบิส (เอเชีย) (UBIS) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 476.19 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 63.70 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่ไตรมาส 3 และ 4 ของทุกปีจะเป็นฤดูกาลผลิตกระป๋อง เพื่อส่งให้กับโรงงานบรรจุที่ต้องการนำกระป๋องเหล่านี้ไปใช้ อีกทั้งราคาวัตถุดิบในปัจจุบันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากไตรมาส 2/63 ที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย ทำให้ยังเป็นประโยชน์ต่อบริษัท อย่างไรก็ตามบริษัท ก็ยังต้องติดตามดูสถานการณ์ราคาวัตถุดิบช่วงไตรมาส 4/63 ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทจะเร่งการผลิต และส่งมอบให้ทันตามที่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องการ เนื่องจากออร์เดอร์ที่เข้ามามีความต้องการให้ส่งมอบในระยะเวลาที่สั้นลงกว่าเดิม จากความต้องการในหลายประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทจะบริหารจัดการ ทั้งการสั่งซื้อวัตถุดิบ และการส่งมอบให้เหมาะสม เพราะถือว่าเป็นหัวใจหลักของการทำกำไรในช่วงที่เหลือของปี
นายณวรรธน์ กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังนี้ก็ยังต้องจับตาดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากหลายประเทศที่มีการส่งออกได้ดี อย่าง เปรู เม็กซิโก บราซิล ล้วนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างมาก ทำให้สินค้าที่มีออร์เดอร์อยู่ก็ถูกระงับการส่งออกไปก่อน ประกอบกับก็ยังไม่สามารถเร่งการขายในประเทศเหล่านั้นได้ ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่เพิ่งทำตลาดไปเมื่อ 3-4 ปีก่อน ขณะที่ตลาดจีน เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และกลับมาแข็งแกร่งในไตรมาส 3/63
ขณะที่กลุ่มของอาหารได้รับผลกระทบในแง่บวก จากมีคำสั่งซื้อและมีการเก็บกักตุนอาหาร ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มยังได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง จากไม่มีกิจกรรมต่างๆ เช่น ท่องเที่ยว กีฬา ซึ่งก็ต้องติดตามดูว่ากลุ่มเหล่านี้จะกลับมาได้เมื่อไหร่ หลังหลายประเทศก็มีการคลายล็อกดาวน์แล้ว รวมถึงจับตาดูเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่มีความรุนแรงไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีการกำหนดอัตราภาษีขึ้น และกำแพงภาษีหลายตัวในปีก่อนก็ยังไม่ได้ยกเลิก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะกระทบกับธุรกิจของ UBIS พอสมควร เนื่องจากหากไม่มีความมั่นใจในการใช้จ่ายหรือบริโภค ก็จะส่งผลต่อการใช้จ่ายที่ลดลง จากความกังวลต่อภาพรวมเศรฐกิจ
นอกจากนี้ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์ เมื่อเทียบกับเงินบาท และค่าเงินหยวน เมื่อเทียบกับเงินบาท ที่บริษัทใช้อยู่ ก็อาจกระทบทั้งในแง่ของการซื้อวัตถุดิบ และการขายสินค้าไปให้กับลูกค้า ซึ่งหากค่าเงินบาทแข็งค่า เมื่อเทียบกับสองสกุลเงินดังกล่าว ก็จะส่งผลต่อกำไรของบริษัท จากปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 60% แต่อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อมั่นว่าปีนี้จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง จากการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง และดูจังหวะในการเข้าซื้อและขาย ของค่าเงินที่รับจากคู่ค้าด้วย
"เรายังเติบโตอยู่ และยังคงรักษากำไรได้ดีอยู่ จากการป้องกันการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และลูกค้าในประเทศ ต่างประเทศ ได้รับของที่มีคุณภาพ ทันเวลาที่เขาต้องใช้ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันรายได้ในปีนี้โตมากกว่า 10%"นายณวรรธน์ กล่าว