นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดรายได้ปีนี้จะปรับตัวลดลง 35-40% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ราว 1.3 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำได้เพียงกว่า 3 พันล้านบาท หลังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลกระทบกับธุรกิจของบริษัทในทุกธุรกิจ
ทั้งนี้ ทิศทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้มองว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อพักอาศัย (residential) จะชะลอการเปิดโครงการจากความล่าช้าของงานก่อสร้าง เนื่องจากในช่วงเคอร์ฟิวการขนส่งวัสดุอุปกรณ์ทำได้ยาก ทำให้การก่อสร้างบางโครงการล่าช้าไป 45 วัน คาดจะส่งผลต่อการโอนกรรมสิทธิ์ถูกเลื่อนออกไป โดยเฉพาะในโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 จากเดิมที่คาดว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ในเดือนส.ค.63 ก็จะถูกเลื่อนไปโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนต.ค.63 แทน ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจที่พักอาศัย
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดโอนหรือยอดรับรู้รายได้อยู่ที่ราว 1.54 พันล้านบาท ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ว่าปี 63 จะมียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 5-6 พันล้านบาท แต่บริษัทยังมีความมั่นใจว่าด้วยสภาวะต่าง ๆ เช่น ความต้องการของนักลงทุนต่างชาติที่มองกลับมาแล้วเห็นว่าไทยสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ ก็อาจจะมีการพิจารณาให้ไทยเป็นบ้านหลังที่ 2 ของนักลงทุนต่างประเทศ
สำหรับธุรกิจโรงแรม ภายใต้การดำเนินงานของบมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ปัจจุบันเริ่มกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมแล้วหลายแห่ง ได้แก่ โรงแรมในไทย ที่จ.ภูเก็ต, สมุย, โรงแรมในมัลดีฟส์ Hard Rock Maldives และ Sii Lagoon Maldives, โรงแรม Majority ในประเทศอังกฤษ, Outrigger Fiji และ Castaway ที่ฟิจิ ส่วนโรงแรมในสาธารณรัฐมอริเชียส คาดว่าจะกลับมาเปิดได้ในไตรมาส 4/63
ทั้งนี้ มองว่าหลังจากกลับมาเปิดให้บริการในโรงแรมดังกล่าว อัตราการเข้าพัก (OCC) ก็ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับในช่วงก่อนหน้าที่มีอัตราการเข้าพักในระดับ 70% จากสายการบินระหว่างประเทศที่ยังเปิดได้ไม่เต็มที่ และมาตรการจับคู่เพื่อการท่องเที่ยว (Travel Bubbel) ก็ยังไม่เห็นความชัดเจน แต่คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกลับมาท่องเที่ยวมากขึ้นได้ในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป โดย SHR จะหันมามุ่งเน้นการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็มีการมอบส่วนลดพิเศษให้กับลูกค้าที่จองและเข้าพักก่อน 31 ธ.ค.63 เพื่อกระตุ้นยอดจองและรายได้ให้กับโรงแรมที่เปิดให้บริการ อีกทั้งยังได้นำโรงแรมในประเทศไทยเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันซึ่งเป็นโครงการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ คาดว่ารายได้ของธุรกิจนี้ปีนี้จะอยู่ที่ 2-3 พันล้านบาท จากครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 1.14 พันล้านบาท
ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า คาดว่าปีนี้จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาท จากครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 506 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะทำได้ถึงเป้าหมายได้ แม้ว่าลูกค้าบางส่วนจะได้รับผลกระทบโควิด-19 และมีการปิดตัวไป แต่ก็มีลูกค้าบางรายที่ยังต้องการกระจายพื้นที่มากขึ้น ทำให้มีทั้งปัจจัยบวกและลบ ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันก็เริ่มเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นจนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็มีการสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินมาตรการด้านสุขอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้าและผู้มาติดต่อ ก็น่าจะช่วยให้ลูกค้าเช่าพื้นที่กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง