นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ซึมลงคล้ายคลึงตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบเล็กน้อยราว 0.1-0.2% เนื่องจากตลาดไม่ได้มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณเศรษฐกิจของสหรัฐฯอาจจะชะลอตัว หลังจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯออกมาแย่กว่าตลาดคาด
ขณะที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ออกมาตามคาด มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.35 ล้านล้านยูโรซึ่งก็ไม่น่าจะมีผลอะไรต่อตลาดฯ
อย่างไรก็ดี ตลาดฯคงจะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยในประเทศก็จะมีการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 19 ก.ย.นี้ และก็ยังต้องติดตามการประชุมสภาฯในวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ ในเรื่องจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราใดบ้าง ส่วนการเมืองต่างประเทศก็ให้ติดตามความสัมพันธ์ระหว่างจีน และสหรัฐฯ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ไม่ต้องการขยายเวลาการแบน TikTok ซึ่งจะถึงกำหนดในวันที่ 15 ก.ย.นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,286-1,276 จุด ส่วนแนวต้าน 1,300 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (10 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,534.58 จุด ลดลง 405.89 จุด (-1.45%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,339.19 จุด ลดลง 59.77 จุด (-1.76%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,919.59 จุด ลดลง 221.97 จุด (-1.99%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 120.84 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 6.72 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 39.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 5.71 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 11.01 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 ก.ย.63) 1,290.89 จุด ลดลง 2.51 จุด (-0.19%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 10.20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ก.ย.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (10 ก.ย.63) ปิดที่ 37.30 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 75 เซนต์ หรือ 2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 ก.ย.) อยู่ที่ -0.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.31 ทรงตัวจากท้ายตลาดวานนี้ หลัง ECB คงนโยบายการเงิน ตลาดกังวลข้อตกลง Brexit
- แบงก์ชาติ ย้ำ "แอลทีวี" ยังจำเป็นช่วยป้องความเสี่ยงภาคอสังหาฯ ยืนยันไม่เป็นอุปสรรคสะท้อนจากสินเชื่อไตรมาส 2 ยังโต 4.4% ด้านนายกสมาคม อสังหาฯลั่นหากไม่ปลดล็อกแอลทีวี อาจเห็นการปลดพนักงานร่วมพันคน ขณะนายกสมาคมบ้านจัดสรร กังขายอดโอนติดลบสินเชื่อโตได้อย่างไร
- วิกฤติโควิด-19 แผลงฤทธิ์ทุบเศรษฐกิจซบ ฉุดลงทุน 5จี สะเทือนตลาดสื่อสาร-อินเทอร์เน็ต การใช้จ่ายในตลาดอุปกรณ์สื่อสารทุกด้านเป็นไปด้วยความระมัดระวัง คาดการณ์ปี 63 ติดลบ 23% มูลค่าจบที่ 6 แสนล้านบาท จากตัวเลขปี 62 มูลค่า 6.19 แสนล้านบาท สวนทางยอดผู้ใช้เน็ตทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจาก 51.19 ล้านราย เป็น 53.35 ล้านราย
- แบงก์ชาติเชื่อผลกระทบตลาดเงินไทยไม่มาก หลังเลิกใช้ดอกเบี้ย "ไลบอร์" เหตุปริมาณธุรกรรมแค่เล็กน้อย เผยหันมาใช้ดอกเบี้ย "ธอร์" เป็นตัวอ้างอิงใหม่ มั่นใจช่วยสะท้อนการส่งผ่านนโยบายการเงินและเศรษฐกิจไทยได้มากขึ้น
- ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้มีแนวโน้มหดตัวถึง 2.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 70% เหลือเพียง 9.1 แสนล้านบาท เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวจาก 39 ล้านคน เหลือเพียง 6.8 ล้านคน ส่วนในปี 2564 ประเมินว่าการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเป็นไปอย่างจำกัด ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจอยู่ที่ 7.6 ล้านคน และรายได้จากการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.24 ล้านล้านบาท ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดถึง 59%
*หุ้นเด่นวันนี้
- PRM (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 13 บาท แนวโน้มกำไร H2/63 จะเติบโต H-H จากธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันที่ฟื้นตัวจากการเดินทางที่มากขึ้น ส่วนธุรกิจ FSU จะได้ประโยชน์เต็มที่จากการปรับขึ้นราคาเรือ 6 ลำใน H1/63 ขณะที่ Demand ยังสูง หนุนให้ Margin ขยายตัว ส่วนกำไร Q3/63 มีโอกาสทำ new high ต่อจากการกลับรายการด้อยค่าเรือที่เตรียมขาย 1-2 ลำ กำไรสุทธิปีนี้ที่คาด +37% จึงมี upside ส่วนปีหน้าคาดโต 24% จากการเพิ่มกองเรืออีก 2 ลำ (มีลูกค้าแล้ว) จากปัจจุบัน 41 ลำ เพื่อทดแทนเรือที่เตรียมขาย ราคาหุ้นซื้อขายที่ 2564PER เพียง 13.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 20 เท่า
- BDMS (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า IAA Consensus 23.5 บาท ธุรกิจเข้าสู่ช่วง high season และยังได้ผลบวกภาครัฐผ่อนคลายเกณฑ์ Medical Tourists โดยเพิ่มจำนวนประเทศที่สามารถเข้ามารักษาพยาบาลตามโปรแกรม AHQ (ต้องกักตัวในโรงพยาบาล 14 วัน) จากเดิม 3 ประเทศ เป็น 138 ประเทศ