หุ้น TASCO เปิดร่วง 14.64% มาที่ 20.40 บาท หรือลดลง 3.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 58.04 ล้านบาท เมื่อเวลา 9.59 น. ราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 20.40 บาท ราคาทำระดับสูงสุดที่ 20.40 บาท และทำระดับต่ำสุดที่ 20.40 บาท
บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) แจ้งว่าบริษัทดำเนินการหยุดการซื้อน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลา ตามที่ US State Department ร้องขอ ให้มีผลตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.63 เป็นต้นไป ส่งผลให้บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องทำการปิดโรงกลั่นในเมือง Kemaman ประเทศมาเลเซีย เป็นการชั่วคราวจนกว่าการคว่ำบาตรของสหรัฐฯอเมริกาต่อประเทศเวเนซูเอลานั้นถูกยกเลิก หรือบริษัทสามารถจัดหาน้ำมันดิบทดแทนน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลาได้
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุน TASCO หลังมีมุมมองเป็นลบต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจาก 50% ของปริมาณการขายยางมะตอยราว 2.0-2.2 ล้านตันต่อปีมาจากผลผลิตน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลา (อีก 50% มาจาก 3rd party) ดังนั้น การยกเลิกการซื้อขายน้ำมันดิบประเทศเวเนซูเอลาจะทำให้บริษัทขาดแคลนสินค้าในการจำหน่ายและแม้จะมีแหล่งน้ำมันดิบจากที่อื่นมาชดเชย แต่อาจทำให้บริษัทต้องเจอต้นทุนน้ำมันดิบที่สูงกว่าและให้ผลผลิตยางมะตอยไม่มากเท่าแหล่งน้ำมันดิบที่มาจากประเทศเวเนซูเอลาที่สูงถึง 70%
ปัจจุบัน บริษัทมี Capacity ในการจุน้ำมันดิบมากถึง 4.1 ล้านบาร์เรล มาจากถังน้ำมันดิบจำนวน 8 ถัง รวมความจุได้ 2.3 ล้านบาร์เรลและเช่า Floating storage อีกราว 1.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งจะหมดอายุสัญญาภายในเดือน ก.พ. 2564
ทั้งนี้ คาดกำไรปกติปี 2563 ได้รับผลกระทบอย่างจำกัด เนื่องจาก ปัจจุบัน TASCO มีน้ำมันดิบที่สามารถผลิตได้จนถึงไตรมาส 1/64 ขณะที่กำไรปกติปี 2564 อาจกระทบมากสุดถึง 40-50% อยู่ที่ 1.5-1.8 พันล้านบาท หากบริษัทไม่สามารถหาแหล่งน้ำมันดิบจากที่อื่นได้เลย ทำให้โรงกลั่นในมาเลเซียต้องหยุดดำเนินการทั้งปี ส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 จากปัจจุบันที่ 31 บาทต่อหุ้น ลดลงราว 12-15 บาทต่อหุ้น
แต่หากบริษัทสามารถหาแหล่งน้ำมันดิบมาชดเชยน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลาได้ราว 50% จะทำให้กำไรปกติปี 2564 อยู่ระหว่าง 2.2-2.5 พันล้านบาท ส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 จากปัจจุบันที่ 31 บาทต่อหุ้น ลดลงราว 5-8 บาทต่อหุ้น
หยวนต้าฯ ระบุว่ามีโอกาสปรับประมาณการและราคาเป้าหมายลงจากประเด็นดังกล่าวภายหลังจากการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 14 ก.ย.นี้