นายทรงวุฒิ ศักดิ์ชลาธร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อินเตอร์ ฟาร์มา (IP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากช่วงครึ่งปีแรกที่บริษัทมีรายได้จากการขาย 197.78 ล้านบาท หรือเติบโต 8.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 182.54 ล้านบาท โดยบริษัทเตรียมที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเจรจาเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ
นอกจากนี้บริษัทยังจะเข้าไปเสนอสินค้าให้กับกลุ่มโรงพยาบาลและร้านยาต่าง ๆ ให้มากขึ้น ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ และผลิตภัณฑ์เดิมหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ลดลง และมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เริ่มคลี่คลายลง โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจ BU 1 ได้แก่ PROIMMO สร้างภูมิคุ้มกันในนมแม่, VITAMUNE สร้างภูมิคุ้มกัน, PROBIOTA BL ซึ่งเริ่มนำเสนอให้กับโรงพยาบาลหลายแห่งไปบ้างแล้ว ขณะที่ BU 2 จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ยกกระชับ ร้อยไหม ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่อปี
ส่วนในกลุ่มธุรกิจ BU 3 บริษัทจะเดินหน้าขยายตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นรองซับ และแชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาประเทศเกาหลีใต้ได้มีคำสั่งซื้อแชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงแล้วจำนวน 3 ล็อต แต่ด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การจำหน่ายชะลอลง แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยอดขายต่าง ๆ จะกลับมาเป็นปกติได้หากไม่มีการพร่ระบาดอย่างรุนแรงซ้ำ ส่วน BU 4 คือผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องกับงานปศุสัตว์ บริษัทยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับบริษัท โมเดิร์น ฟาร์มา จำกัด ที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมด 100% ในช่วงก่อนหน้านี้ ได้มีการผลิตยาสำหรับคนและสัตว์ จำหน่ายออกไปอย่างต่อเนื่องแล้ว ในขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างจัดตั้งทีมภายใต้ความดูแลของบริษัทเอง เพื่อส่งผลิตภัณฑ์ไปยังร้านขายยาทั่วไปตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆทั่วประเทศ หลังมองว่ารูปแบบร้านขายดังกล่าวมีการเติบโตมากขึ้นในยุค new normal หลังประชาชนมีการเดินห้างสรรพสินค้าน้อยลง
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วงปี 63-65 ทั้งจากเติบโตแบบปกติ และ การมองหาการเข้าซื้อกิจการ (M&A) พร้อมทั้งรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ไม่น้อยกว่า 50% ซึ่งในปัจจุบันการรักษาระดับมาร์จิ้นยังทำได้ดีแตะ 60% โดยจากนี้ไปบริษัทจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างจากท้องตลาดและมีมาร์จิ้นสูง พร้อมทั้งพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารไม่ให้เกิน 35%
กรณีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นจากการเข้ามาถือหุ้น 5% ของนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) นั้น บริษัทคาดหวังเป็นอย่างมากที่จะอาศัยความชำนาญจาก TU ในเรื่องของการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และบางประเทศในกลุ่มยุโรป เป็นต้น ขณะที่การถือหุ้นในส่วนของตนเองนั้นก็มีนโยบายที่จะรักษาการถือหุ้นในบริษัทไม่ต่ำกว่า 40%