นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ ลุ้นรีบาวด์หลังปรับฐานต่อเนื่องติดต่อกันหลายวัน ขณะที่ตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ตามตลาดหุ้นสหรัฐที่ดีดตัวขึ้นขานรับความคืบหน้าวัคซีนต้านโควิด และดีลการขายกิจการ TikTok หนุน แต่ตลาดบ้านเรายังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศที่จะมีการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ด้านราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวลงหลังโอเปกหั่นคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันลง อีกทั้ง ยังต้องติดตามการปรับน้ำหนักลงทุนของฟุตซี่ที่จะมีผล 18 ก.ย.นี้ พร้อมให้แนวรับ 1,265-1,260 แนวต้านอยู่ที่ 1,275-1,280 จุด
นายกิตติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ มีโอกาสรีบาวด์ หลังปรับฐานต่อเนื่องก่อนหน้านี้ สอดคล้องในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้แกว่งไซด์เวย์ถึงปรับตัวขึ้น หลังตลาดสหรัฐฯดีดตัวขานรับความคืบหน้าวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเชิงบวก และยังมีดีลการขายกิจการ TikTok ที่มาช่วยหนุนด้วย
อย่างไรก็ดี ตลาดบ้านเรายังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยการเมือง ที่จะมีการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.นี้ และราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลงเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้และปีหน้า อันเนื่องมาจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจจะไปกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ นอกจากนี้ให้ติดตามการปรับน้ำหนักการลงทุนของฟุตซี่ที่จะมีผลในวันที่ 18 ก.ย.นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,265-1,260 จุด และแนวต้าน 1,275-1,280 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,993.33 จุด เพิ่มขึ้น 327.69 จุด (+1.18%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,383.54 จุด เพิ่มขึ้น 42.57 จุด (+1.27%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,056.65 จุด เพิ่มขึ้น 203.10 จุด (+1.87%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.68 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 120.47 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 18.63 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 0.40 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.68 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.15 จุด, ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.00 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ก.ย.63) 1,272.34 จุด ลดลง 7.62 จุด (-0.60%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 537.49 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ก.ย.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ก.ย.63) ปิดที่ 37.26 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 7 เซนต์ หรือ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ก.ย.) อยู่ที่ 0.81 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.21/27 แข็งค่าจากวานนี้ หลังมีแรงขายดอลล์รับข่าวผลิตวัคซีนคืบหน้า
- ศาลล้มละลายกลาง สั่ง ฟื้นฟูกิจการบินไทย "ชาญศิลป์" ชี้เป็นก้าวสำคัญ ฟื้นกลับมาเป็นสายการบินแห่งชาติ ตั้งเป้าสำเร็จใน 5 ปี เร่งเปิดลงทะเบียนเจ้าหนี้ 1 เดือน ทำแผนเสนอศาลไตรมาส 4 คิกออฟแผนต้นปีหน้า ห่วงธุรกิจการบินฟื้นตัวช้าใช้เวลากลับมาปกติ 4-5 ปี ด้านหุ้นการบินไทยขยับขึ้น ทันที 7.1%
- "เฟทโก้" เผยดัชนีเชื่อมั่น หุ้นไทยร่วงกว่า 21% ทำสถิติต่ำสุดรอบ 5 เดือน จากปัจจัยการเมือง-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ล่าช้า โดยเฉพาะความเชื่อมั่น ผู้ลงทุนต่างชาติดิ่งหนักอยู่ในเกณฑ์ "ซบเซาอย่างมาก" ด้าน "ไพบูลย์" จี้รัฐเร่ง "ใช้เงิน" กระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงความเชื่อมั่น
- อีไอซีคาดจีดีพีปีนี้ -7.8% เหตุเม็ดเงินกู้เข้าระบบแค่ 4.75 แสนล้าน-เงินช่วยประชาชนแผ่ว หวั่นเกิดหน้าผาทางการคลัง แถมปิดกิจการพุ่ง ด้าน สสว.รับพิษเศรษฐกิจทำมูลค่าเอสเอ็มอีหาย 7.45 แสนล้านบาท ติดลบ 9.5%
- นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้จัดทำข้อมูลเรื่องแนวทางการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย ภายหลังจากได้เดินทางมาลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบธุรกิจ และชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต หนากว่า 90 หน้า เพื่อเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาในสัปดาห์นี้ โดยข้อมูลชุดนี้มีทั้งแนวทางการปฏิบัติ การเตรียมความพร้อม มาตรการทางสาธารณสุข และการรับฟังความคิดเห็น หากได้รับการเห็นชอบ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะผลักดันการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทยคนแรกให้ได้ในวันที่ 1 ต.ค.นี้
- ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย GDP ในปีนี้จะหดตัวที่ 8.0% ซึ่งหดตัวมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายนที่หดตัว 4.8% แม้ว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดี ทำให้มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว แต่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าวส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เคยคาดกาณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก่อนจะกลับมาฟื้นตัวในปี 64 โดยคาดว่า GDP จะขยายตัว 4.5% ปรับเพิ่มจาก 2.5% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายน
*หุ้นเด่นวันนี้
- ORI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9 บาท เป็นหนึ่งใน Top Pick ของกลุ่มอสังหาฯ โดยคาดกำไร H2/63 เร่งตัวขึ้น +22% H-H ตามการโอนคอนโดฯใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ และเปิดโครงการใหม่เชิงรุกเกือบ 6 เท่าตัวจาก H1/63 ด้านราคาหุ้นปรับตัวลงแรงเกือบ 20% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาและเริ่มเข้าใกล้เขต Oversold ทำให้ Downside จำกัด ขณะที่ปัจจุบันซื้อขายที่ 2564PER เพียง 5 เท่าและคาดให้ Dividend Yield สูงถึง 8%
- SF (เคจีไอ) "เก็งกำไร"เป้าพื้นฐาน 5.8 บาท ประเมินผลกระทบจากโควิด-19 น้อย จากลูกค้าส่วนใหญ่ของ SF เป็นคนไทย จึงได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง น้อยกว่าผู้ประกอบการอื่น อย่าง CPN และ MBK อีกทั้งส่วนลดค่าเช่าพื้นที่ให้ลูกค้าน้อยลงใน H2/63 และน้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้าน PE ปี 2563 - 64 ต่ำเพียง 8.5 และ 7.0 เท่า ตามลำดับ พร้อมประเมินแนวรับ 4.44 บาท และ 4.30 บาท / แนวต้าน 4.70 บาท และแนวต้านถัดไป 4.82 บาท (Stop loss 4.30 บาท)