PROUD คาดกลับมีกำไรปี 65 จากโอนโครงการที่หัวหินหลังขายแล้ว 2.3 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 15, 2020 17:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพสิฐ แก่นจันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พราว เรียล เอสเตท (PROUD) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าภาพรวมของผลการดำเนินงานจะเห็นการพลิกฟื้นกลับมามีกำไรในช่วงปี 65 ซึ่งเป็นปีที่มีการโอนโครงการ Intercontinental Residences Hua Hin มูลค่า 3.51 พันล้านบาท โดยปัจจุบันโครงการดังกล่าวมียอดขายแล้ว 238 ยูนิต หรือเป็นมูลค่ากว่า 2.3 พันล้านบาท นับเป็นยอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัท และยังเหลือขายอีก 107 ยูนิต มูลค่า 1.2 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าที่จะขายส่วนที่เหลือให้หมดภายในปี 64 โดยหากเริ่มโอนโครงการ Intercontinental Residences Hua Hin ได้จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 65 เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 63 คาดว่าจะขาดทุนลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุนราว 40 ล้านบาท เนื่องจากในปี 63 ได้มีทยอยโอนโครงการ Focus เพลินจิต ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะโอนได้ 178 ล้านบาท โดยปัจจุบันโอนไปแล้ว 148 ล้านบาท และในช่วงไตรมาส 4/63 จะมีลูกค้าโอนเข้ามาอีก 30 ล้านบาท ทำให้ในปีนี้โครงการ Focus เพลินจิต ถือเป็นโครงการที่สามารถช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัท และทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ขาดทุนลดลง

ส่วนระยะต่อไปยังคงมองโอกาสในการลงทุนต่อเนื่อง แต่จะเป็นการทยอยลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยความไม่แน่นอนที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ อย่างเช่นในปีนี้ที่มีปัจจัยโควิด-19 เข้ามากระทบต่อเศรษฐกิจ และกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย เกิดการปรับลดราคาขายเพื่อให้สามารถจำหน่ายได้และดึงกระแสเงินสดเข้ามาเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัทมากขึ้น

แต่ในส่วนของบริษัทนั้นถือว่าได้รับผลกระทบน้อย เพราะมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพียงโครงการเดียว คือ โครงการ Intercontinental Residences Hua Hin ส่วนโครงการ Focus เพลินจิต ได้พัฒนาแล้วเสร็จทยอยโอนให้กับลูกค้า ซึ่งลูกค้าที่ซื้อโครงการไม่มีปัญหาด้านการโอน เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าระดับบน ส่วนลูกค้าชาวต่างชาติบริษัทได้เตรียมการโอนโดยการมอบอำนาจแทน ทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้อโครงการไปยังสามารถโอนได้ แม้ว่าจะยังเดินทางเข้ามาโอนเองในประเทศไทยไม่ได้ในช่วงนี้ ส่งผลให้บริษัทยังสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง

การลงทุนใหม่ที่บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาในขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ผู้ประกอบการรายอื่นนำโครงการมาเสนอขายให้กับบริษัท ซึ่งมีหลายโครงการที่เข้ามาเสนอ และมีราคาขายที่ลดลงจากภาวะปกติไม่ต่ำกว่า 25% แต่บริษัทไม่เร่งรีบตัดสินใจลงทุน เพราะจะต้องพิจารณาถึงผลตอบแทนที่ได้ต้องมากกว่า 15% ขึ้นไป และดูสถานการณ์ของตลาดให้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีกลับมาก่อน ซึ่งจะเป็นช่วงที่บริษัทพร้อมที่จะเข้าลงทุนทั้งโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ ซึ่งมีดีลที่อยู่ระหว่างศึกษา จำนวน 2-3 ดีล มูลค่า 400-500 ล้านบาท/ดีล ที่อยู่ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

ส่วนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯก็ได้มีการศึกษาทำเลไว้ 3-4 แปลง โดยมองทั้งการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม หรือโครงการแนวราบ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน หรือหากบางทำเลที่สามารถทำแบรนด์ใหม่ระดับต่ำกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร ได้ และให้ผลตอบแทนที่สูง บริษัทก็อาจจะพัฒนาแบรนด์ใหม่ขึ้นมา เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ ซึ่งการพัฒนาโครงการใหม่ในกรุงเทพฯที่ศึกษาอยู่อาจจะเป็นการร่วมทุนกับกองทุนจากต่างชาติในเอเชียและนอกเอเชีย ซึ่งบริษัทได้มีการเจรจาอยู่ในการร่วมทุนพัฒนาโครงการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 64

สำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ในหัวหินนั้นยังมีที่ดินเปล่าเหลืออีก 2 ไร่ ในทำเลสวนน้ำวานา นาวา ที่คาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในอนาคต แต่บริษัทจะยังไม่เร่งการพัฒนารวดเร็ว เพราะสถานการณ์ในภาพรวมปัจจุบันยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน หากเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจกลับมาแล้วจะเริ่มพิจารณาพัฒนาโครงการในหัวหินอีกครั้ง พร้อมกับยังมีการศึกษาการพัฒนาโครงการในหัวหินอี่น ๆ เพิ่มเติม รวมถึงศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการในภูเก็ตด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่บริษัทสนใจ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันการลงทุนโครงการในภูเก็ตจะต้องชะลอไปก่อน เพราะกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาพักอาศัยในภูเก็ตเป็นลูกค้าต่างชาติกว่า 80% หากพัฒนาโครงการในตอนนี้จะเป็นความเสี่ยงให้กับบริษัท

"การลงทุนของบริษัทจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ทำโปรเจ็คท์ที่มีขนาดใหญที่เกินตัวเรามาก แม้ว่าตอนนี้เราจะมี Cash ค่อนข้างมาก และผู้ถือหุ้นใหญ่เราเองก็ไม่รีบเร่งการลงทุน แต่ถ้าลงทุนก็ลงทุนในโปรเจ็คท์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีมีความเสี่ยงไม่สูงมาก ทำให้บริษัทสามารถปิดความเสี่ยงได้ และผู้ถือหุ้นก็ยังได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ และทำให้บริษัทไม่ต้องแบกภาระหนี้สินมาก"นายไพสิฐ กล่าว

ทั้งนี้ การลงทุนใหม่ๆของบริษัทในอนาคตนั้นยังมีความสามารถในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้อีก โดยปัจจุบันเมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 1.3 เท่า และจะควบคุมไว้ไม่เกิน 2 เท่า พร้อมกับยังมีพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุนในการพัฒนาโครงการใหม่ๆอีกเช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ