บมจ.เอสวีไอ(SVI) เดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและจีน รองรับออเดอร์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะลงทุนราว 350 ล้านบาทตั้งโรงงานแห่งที่ 3 ในประเทศไทย พร้อมไปกับการเพิ่มสายการผลิตในโรงงานเดิมในประเทศไทยและจีน มูลค่าลงทุน 4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนั้น ในอนาคตยังสนใจจะศึกษาการขยายลงทุนไปยังเวียดนาม เนื่องจากมีต้นทุนค่าแรงงานต่ำ โดยเบื้องต้นอาจเป็นการเช่าใช้พื้นที่โรงงาน คาดว่าน่าจะได้เห็นปลายปี 51 หลังจากโรงงานแห่งที่ 3 ในไทยแล้วเสร็จ
ทางด้านยอดขาย คาดว่าในปี 51 จะสูงขึ้นเป็น 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 155-160 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ โดยโรงงานในจีนน่าจะเริ่มทำกำไรได้ในปีหน้า หลังจากถึงจุดคุ้มทุนในปลายปีนี้ และเริ่มขาดทุนลดลงใน Q3/50 เมื่อเทียบกับ Q2/50
นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SVI เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ายอดขายในไตรมาส 3/50 จะอยู่ที่ 42-44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าไตรมาส 2/50 ที่มียอดขาย 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากออเดอร์ลูกค้าที่เข้ามามากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีออเดอร์แล้วประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากทั้ง 3 โรงงาน รวมทั้งโรงงานในจีนด้วย
ในช่วงไตรมาส 3/50 โรงงานในจีนมีออเดอร์ประมาณ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไตรมาส 4 อีกประมาณ 2.5-3.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ จากยอดขายดังกล่าวเชื่อว่าในปีนี้จะสามารถรักษายอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 155-160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับโรงงานใหม่ในไทยนั้นขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการต่อรองราคา ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในไตรมาส 3 ปีนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณก่อสร้าง 350 ล้านบาท โดยใช้เวลาในการทดสอบ 5 เดือนและจะผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 1/51 ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ได้เสนอวงเงินกู้มาให้ 1,000 กว่าล้านบาท แต่คาดว่าจะใช้เงินกู้เพียง 300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
ขณะเดียวกันบริษัทยังสนใจศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนในเวียดนาม แต่อาจจะเป็นลักษณะการเช่าพื้นที่ตั้งโรงงานมากกว่าการลงทุนสร้างโรงงานเอง เหตุที่สนใจลงทุนเวียดนามเนื่องจากปัจจุบันแรงงานมีราคาถูกเมื่อเทียบกับไทย โดยคาดว่าหากคุ้มค่าในการลงทุนก็น่าจะเห็นในปลายปีหน้า หลังจากที่เสร็จสิ้นการตั้งโรงงานแห่งที่ 3 ในประเทศไทยแล้ว
"เชื่อว่าธุรกิจของ SVI ยังดีต่อเนื่องถึงแม้ราคาหุ้นเรายังต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มอิเล็กฯด้วยกัน"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/50 บริษัทยังมีแผนจะซื้อเครื่องจักรเพิ่มจำนวน 4 สายการผลิต แบ่งเป็นจีน 2 สายฯใช้เงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโรงงานในไทยอีก 2 สายฯ ใช้เงินประมาณ 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้บริษัทจะต้องใช้เงินทั้งหมด 4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเครื่องจักรในไทยจะเป็นการเพิ่มเพื่อรองรับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นในโรงงานที่ 2 ที่จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 15%
โรงงานที่จีนในไตรมาส 3/50 ยังจะขาดทุนอยู่ แต่จะน้อยลงจากไตรมาส 2/50 ที่ขาดทุน 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ เพราะมีค่าใช้จ่ายทั้งจากการพัฒนาสินค้าแต่ก็เพื่อจะเป็นการรองรับออเดอร์ที่จะเข้ามาในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ โดยคาดว่าออเดอร์ที่เข้ามาในครึ่งปีหลังจะทำให้โรงงานในจีนสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ในไตรมาส 4/50 และปีหน้าจะเริ่มเห็นกำไร
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้อัตรากำไรขั้นต้น(gross profit margin) หายไป 1% โดยไตรมาส 2/50 มาอยู่ที่ 9.8% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10% แต่ก็ถือว่าไม่มากเพราะบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ ทำให้ผลกระทบลดลงได้ระดับหนึ่ง และจะพยายามทำให้ยอดรายจ่ายเป็นดอลลาร์มากขึ้น
SVI มองว่าแนวโน้มเงินบาทจะแข็งค่าอยู่ที่ 33.00-33.50 บาท/ดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนนี้ และเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วมากเกินไป เพราะทำให้ผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทัน
ส่วนสภาพคล่องหุ้น SVI เริ่มปรับตัวดีขึ้นถึงแม้กองทุน H&Q ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ยังมีแผนจะทยอยลดสัดส่วนการถือหุ้น โดยกองทุนดังกล่าวยังคงขยายการลดสัดส่วนหุ้นไปถึงสิ้นปีหน้า แต่ระหว่างนี้ก็หาผู้ที่สนใจซื้อไปด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--