ดัชนีกลุ่มแบงก์ขยับขึ้น 1.35% มาอยู่ที่ 259.33 จุด เพิ่มขึ้น 3.45 จุด เมื่อเวลา 10.19 น.นำโดยหุ้น KBANK บวก 1.59% มาอยู่ที่ 79.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 215.23 ล้านบาท
หุ้น BBL บวก 1.52% มาอยู่ที่ 100.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 104.62 ล้านบาท
หุ้น BAY บวก 1.52% มาอยู่ที่ 20.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 1.03 ล้านบาท
หุ้น KKP บวก 1.33% มาอยู่ที่ 38 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 14.84 ล้านบาท
หุ้น TMB บวก 1.12% มาอยู่ที่ 0.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท มูลค่าซื้อขาย 33.01 ล้านบาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล โดยกำหนดวงเงินไม่เกินรายละ 2 หมื่นบาท และมีกำหนดระยะเวลาการชำระคืนสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลแต่ละสัญญาไม่เกิน 6 เดือน คิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียม ค่าปรับ ค่าบริการไม่เกิน 25% ต่อปี พร้อมเปิดทางธนาคารพาณิชย์นำข้อมูลการจ่าย "ค่าน้ำ-ไฟ-โทรศัพท์-ช็อปออนไลน์" เป็นข้อมูลวิเคราะห์การปล่อยกู้ได้ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ง่ายขึ้นนั้น
ฝ่ายวิจัย มองเป็นบวกกับธนาคารพาณิชย์ จากการที่ธปท.เปิดช่องให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามาทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น แต่ทางกลุ่มไฟแนนซ์ก็จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มธนาคารมีข้อได้เปรียบไฟแนนซ์ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า มีเครือข่ายสาขากว้างขวางทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด
สำหรับธนาคารที่มีสินเชื่อรายย่อยสัดส่วนสูงสุด คือบมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) (79%) รองลงมาเป็นธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) (61%), ธนาคารทหารไทย (TMB) (56%), ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) (48%) และธนาคารกรุงไทย(KTB) (44%) ซึ่งปัจจุบันทางฝ่ายวิจัยให้ TISCO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมีการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และมีฐานเงินกองทุนขั้นที่ 1 สูงที่สุดในกลุ่มที่ 17.2% ให้ราคาพื้นฐาน 1 ปีข้างหน้าเท่ากับ 85 บาท
ด้านบล.ไอร่า ระบุว่า ติดตามผลการจัดทำประมาณการฐานะและการดำเนินงานภายใต้ภาวะวิกฤติ (Stress Test) ของธนาคารพาณิชย์ที่จะเปิดเผยในช่วงเดือน ต.ค. นี้ คาดจะผ่านทั้งหมด หลังธนาคารพาณิชย์ไทยค่อยข้างมีระดับเงินทุนสำรองและเงินกองทุนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งคาดว่าหากธนาคารพาณิชย์ผ่าน Stress Test แล้ว คาดจะสามารถกลับมาจ่ายปันผลได้อีกครั้ง หนุนราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารรีบาวด์ขึ้นได้