นายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สากล เอนเนอยี (SKE) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสถานีก๊าซธรรมชาติหลักเอกชน (PMS) ให้บริการอัดก๊าซธรรมชาติ (NGV) ลดลงตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/63 และในช่วงไตรมาส 2/63 ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ปริมาณการอัดก๊าซในช่วงไตรมาส 2/63 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 351 ตัน/วัน จากไตรมาส 1/63 ที่มีปริมาณการอัดก๊าซ 477 ตัน/วัน ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีสัญญาขั้นต่ำกับทาง บมจ.ปตท. (PTT) ที่ 520 ตัน/วัน แต่อย่างไรก็ตามสัญญาขั้นต่ำจะมีการชำระเพียง 40-50% ของค่าใช้จ่ายในการอัดก๊าซจริงเท่านั้น ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมารายได้จากการให้บริการอัดก๊าซปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามมองว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี หลังสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศคลี่คลาย ส่งผลให้กิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ กลับมาฟื้นตัว และการกลับมาใช้ชีวิตของประชาชนเข้าสู่ภาวะที่ใกล้เคียงกับช่วงระยะเวลาปกติ ทำให้ทั้งธุรกิจผลิตและจำหน่ายก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) และปริมาณการอัดก๊าซธรรมชาติฟื้นขึ้น นอกจากนี้การรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลแม่กระทิง ที่มีกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ ซึ่งมีสัญญาขายไฟฟ้าอยู่ที่ 8 เมกะวัตต์ ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยังคงสามารถเดินเครื่องการผลิตได้ค่อนข้างดี และยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง จะช่วยหนุนการเติบโตของผลประกอบการบริษัทในปีนี้ด้วย ทั้งนี้ บริษัทยังคงมองหาการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมองผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 8-10% ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิตที่ 3-5 เมะวัตต์ โดยหวังว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 63