นายนำชัย วนาภานุเบศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบัญชีและการเงิน บมจ.ปริญสิริ(PRIN) คาดว่า จะสามารถขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 335 ล้านหุ้นได้ในเดือน ก.ย.นี้ จากเดิมที่วางแผนจะขายในเดือน ส.ค. เนื่องจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งเกิดปัญหาในเรื่องของซับไพร์ม ทำให้บริษัทรอดูสถานการณ์และจังหวะที่ดี
แต่อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนในเวลาดังกล่าวได้ ทางบริษัทก็ไม่กังวลเนื่องจากมีวงเงินที่ยังกู้กับธนาคาร และมีกระแสเงินสุดที่สามารถลงทุนโครงการได้
"แม้ไม่ได้เงินเพิ่มทุน แต่ก็สามารถกู้เงินจากแบงก์ได้ เพียงแต่มีผลให้ D/E เราสูงขึ้น แต่หากได้ก็จะช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็อยากให้การเพิ่มทุนเป็นไปตามที่เราหวัง" นายนำชัย กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ(backlog) ราว 3.4 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปีนี้ประมาณพันกว่าล้านบาท ที่เหลือจะไปรับรู้ในปีหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม
นายนำชัย กล่าวว่า ในปีนี้ยังคงเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ที่ 4 พันล้านบาท ถึงแม้ในครึ่งปีแรกยอดขายจะไม่ดีจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อตามไปด้วย แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังจะกลับมาในทิศทางที่ดี ขณะที่ยอดขายปีนี้ที่ 6 พันล้านบาท ยังทำได้แน่นอน เพราะปัจจุบันมียอดขายแล้ว 4 พันกว่าล้านบาท
ส่วนในปี 51 เชื่อว่ายอดรับรู้รายได้จะสูงขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท จากการที่บริษัทหันมาเปิดโครงการคอนโดมิเนียม โดยในเดือน ก.ย.นี้จะเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 900 ล้านบาท คือ โครงการปริญญาดาสามัคคี และโครงการปริญลักษณ์สามัคคี ซึ่งจะรับรู้รายได้ปีนี้บางส่วน
สำหรับปีหน้าเล็งเปิดโครงการคอนโด เพิ่ม 3 โครงการ มูลค่ารวม 5 พันล้านบาท รวมทั้งโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ อีก 6 โครงการ
นอกจากนี้ ในปีหน้ามีแผนซื้อที่ดินในการรองรับโครงการใหม่ปีหน้า แต่จะเน้นแนวติดรถไฟฟ้า ชุมชน และมีราคาถูก ส่วนใหญ่รองรับการก่อสร้างคอนโดฯ ที่ยังมีดีมานด์
"ปีหน้าเชื่อว่าจะมีกำไรมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ เนื่องจากการเปิดคอนโดฯที่มากขึ้น ซึ่งมีมาร์จิ้นในอัตราที่สูงกว่าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ รวมทั้งยอดรับรู้รายได้ที่มากขึ้นด้วย โดยเราตั้ง gross profit margin ในปีนี้ที่ 20% กว่าแต่ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 30% กว่า" นายนำชัย กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากบ้านเดี่ยว 60% ทาวน์เฮ้าส์ 30% และคอนโดฯ 10% แต่ในอนาคตจะปรับให้เป็น บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ 50% คอนโดฯ 50%
นายนำชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่ทางกลุ่มสิริวัฒนภักดีเข้ามาถือหุ้นใน บมจ.ยูนิเวนเจอร์ (UV) ว่า ขณะนี้คงรอดูแนวทางการดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของผู้ถือหุ้นใหม่ดังกล่าวก่อนเกี่ยวกับที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ เพราะหากทางกลุ่มใหม่ไม่ดำเนินการได้ทางบริษัทก็จะรับซื้อมาดำเนินการเอง
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/รัชดา/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--