หุ้น GUNKUL ปรับขึ้น 1.69% มาที่ 2.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.04 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 39.8 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.03 น. ราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 2.38 บาท ราคาทำระดับสูงสุดที่ 2.42 บาท และทำระดับต่ำสุดที่ 2.38 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ปรับคำแนะนำขึ้นจาก "Trading" เป็น "ซื้อ"หุ้นบมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 64 อยู่ที่ 3.26 บาท มี Upside gain 38.1% ปัจจุบันซื้อขายด้วย PER 63-64 ต่ำเพียง 13.9x และ 10.9x ตามลำดับ พร้อมผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 63-64 ที่ 3.2% และ 4.1% ตามลำดับ
ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มผลประกอบการของ GUNKUL ที่คาดว่ากำลังการผลิตใหม่จากการ M&A จะมาหนุนกำไรปกติในไตรมาส 4/63 ให้กลับมาโดดเด่นได้อีกครั้ง หลังจากจะขายเงินลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นขนาด 69.83 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งจะมีกำไรพิเศษ 715 ล้านบาทรับรู้ในไตรมาส 3/63 ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3/63 จะเติบโตสูงทั้ง QoQ และ YoY แต่ในด้านกำไรปกติคาดเบื้องต้นที่ราว 600-700 ล้านบาท เติบโตเท่าตัว QoQ เพราะเป็น High season ของพลังงานลม แต่อาจชะลอลง 25-36% YoY เพราะมีฐานที่สูงเนื่องจากจำนวนพายุค่อนข้างมากในไตรมาส 3/62
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 4/63 คาดว่าผลงานจะเติบโตสูง YoY เพราะมีกำลังการผลิตใหม่ในเวียดนามเพิ่งเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/63 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซียขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 39 เมกะวัตต์ จะเริ่ม COD เต็มไตรมาสในไตรมาส 4/63 (ถือหุ้น 70%) และจะรับรู้รายได้งานรับเหมาก่อสร้าง (EPC) ค่อนข้างมากในไตรมาส 4/63 ปัจจุบันมี Backlog อยู่ 8,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น Utsunomiya ที่ GUNKUL จะขายออกไปนั้น มีกำหนด COD ในเดือนก.พ.66 จึงทำให้มีเวลาอีกกว่า 2 ปี ในการหากำลังการผลิตใหม่เข้ามาทดแทน ปัจจุบัน GUNKUL อยู่ระหว่างการศึกษา และทำธุรกรรมการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามจำนวน 2-3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวมราว 50-160 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการที่ COD แล้ว ทำให้นอกจากจะสามารถชดเชยกำลังการผลิตของ Utsunomiya ที่จำหน่ายได้หมด และยังมีโอกาสที่จะ M&A ได้เสร็จภายในไตรมาส 4/63 ทำให้มีการรับรู้รายได้และกำไรได้เร็วกว่า ซึ่งเป็น Upside ต่อประมาณการ