นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายรายได้ในปี 63 เหลือ 7 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท หลังตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การโอนเกิดความล่าช้าออกไปบ้าง และความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้ลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถโอนได้ กระทบต่อรายได้ของบริษัท
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะทยอยรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) ราว 3 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 3.84 พันล้านบาท พร้อมกับการระบายสต็อกของโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่มีอยู่ราว 8 พันล้านบาท โดยการจัดแคมเปญโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัท ประกอบกับนำยูนิตที่เหลือขายบางส่วนมาปล่อยเช่า ทำให้บริษัทมีรายได้จากการเช่าเข้ามาเสริม
ขณะที่ยอดขายในปีนี้บริษัทมั่นใจว่าทำได้ตามเป้า 1 หมื่นล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกทำยอดขายได้แล้ว 5.7 พันล้านบาท โดยปัจจัยกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง จะมาจากการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการ มูลค่าโครงการละ 700-1,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 60,000-70,000 บาท/ตารางเมตร ที่เตรียมเปิดขายในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.ที่จะถึงนี้ และบริษัทอยู่ระหว่างการมองหาที่ดินใหม่เพื่อนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม BOI ในปี 64 จำนวน 2 แปลง เพื่อพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมที่ราคาเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ LPN ที่อยากให้ทุกคนมีบ้าน
อย่างไรก็ตามในภาวะที่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น การชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์และภาวะเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทหันมาเน้นการบริหารจัดการต้นทุนให้ดีขึ้น ทำตัวบริษัทให้เบา การบริหารสภาพคล่องที่ดี เพื่อทำให้บริษัทผ่านพ้นภาวะวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ และการปรับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มีขนาดเล็กลง ไม่ทำโครงการขนาดใหญ่ที่เกินตัว และการพัฒนาโครงการใหม่จะต้องตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของผู้ซื้อได้มากขึ้น เพื่อทำให้การเปิดโครงการใหม่ได้รับผลตอบรับที่ดี