นายเควิน คูมาร์ ชาร์มา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ บมจ.พลาสติคและหีบห่อไทย (TPAC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 178.79 ล้านบาท สูงกว่าทั้งปี 62 ที่มีกำไร 138.84 ล้านบาท ขณะที่รายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตกว่าปีก่อนที่ทำได้ 3,802.06 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 1,992.08 ล้านบาท โดยมองครึ่งปีหลังนี้จะพยายามทำให้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก
แม้ว่าในช่วงเดือน เม.ย.63 จะเป็นช่วงของการล็อกดาวน์ของประเทศอินเดีย และโรงงานในประเทศอินเดียได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง แต่บริษัทยังคงเปิดเดินเครื่องผลิตได้ เนื่องจากสินค้าของบริษัทเป็นผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ของสินค้าที่จำเป็นใช้ในชีวิตประจำวัน และยังมีความต้องการมาก ส่งผลทำให้กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ยังเป็นบวก
ขณะที่ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.63 ทิศทางผลงานของธุรกิจในอินเดียเริ่มกลับมาดีขึ้น ทำให้คาดว่าในครึ่งปีหลังนี้ประเทศอินเดียจะสามารถโชว์ผลการดำเนินงานได้ดีกว่าครึ่งปีแรก ส่วนในประเทศไทยและประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทำผลงานได้ดีอยู่แล้ว ซึ่งจะรักษาระดับนี้ให้ดีต่อไป
ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานอยู่ในประเทศไทย 4 แห่ง, อินเดีย 5 แห่ง และ UAE อีก 1 แห่ง โดยสัดส่วนรายได้มาจากประเทศไทยคิดเป็น 46%, อินเดีย 43% และ UAE 11% มุ่งเน้นไปยังลูกค้ากลุ่ม Food & Beverage ที่มีสัดส่วนรายได้ 67%, Pharmaceutical & Personal Care 24%, Industrial & Homecare 9% ซึ่งในอนาคตบริษัทได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ในกลุ่ม Pharmaceutical & Personal Care ให้มากขึ้น เนื่องจากมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
สำหรับการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯ จะเข้าซื้อหุ้นที่เหลือจำนวน 20% ใน TPAC Packaging India Private Limited (TPAC India) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 80% จาก Mr. Kanhaiyalal Mundhra และ Mr. Hitesh Kumar Mundhra มูลค่าราว 550 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ต.ค.63 ซึ่งจะทำให้บริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 100% ใน TPAC India และจะส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 0.86 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.68 เท่า
นอกจากนี้ บริษัทยังคงมองหาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันก็มีโครงการใน Pipeline อยู่หลายโครงการ โดยเชื่อมั่นว่าจากกระแสเงินสดที่มีในมือ 555 ล้านบาท และทีมงานที่แข็งแกร่งทั้งในไทย อินเดีย และ UAE ทำให้กลุ่มบริษัทมีความพร้อมที่จะเข้าลงทุนได้
พร้อมกันนี้บริษัทยังตั้งเป้าหมายรายได้ปี 64 เติบโต 20% โดยมาจากการเติบโตจากภายใน (Organic growth) จากแผนการเพิ่มกำลังการผลิตทั้งในประเทศอินเดียและ UAE