นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผู้จัดการกองทุนต่างยังมองว่าอุตสาหกรรมกลุ่มเฮลธ์แคร์ยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน และคงอยู่ในทิศทางเติบโตสูงได้ในระยะยาวต่อไป โดยอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ยังสามารถรับแรงกดดันจากวิกฤติเศรษฐกิจโดยรวมได้ค่อนข้างดี ซึ่งทำให้เห็นว่าแม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ความต้องการทางการแพทย์นั้นก็ไม่ได้ลดลงตาม ถึงแม้ว่าการพัฒนาวัคซีนยังอยู่ในระยะทดสอบ แต่อาจจะใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะผ่านการอนุมัติให้ใช้งานจริง รวมถึงจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ส่งผลให้ความผันผวนระยะสั้นยังคงมีอยู่
ในส่วนของกองทุนเฮลธ์แคร์ของบริษัทนั้น บริษัทได้จ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นเฮลธ์แคร์ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลบอลเฮลธ์แคร์ (SCB GLOBAL HEALTHCARE EQUITY FUND : SCBGHC) เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2562 – 31 สิงหาคม 2563 ในอัตรา 0.3279 บาทต่อหน่วย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ไปแล้วจำนวน 0.1584 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.1695 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 5 รวมจ่ายปันผล 0.7432 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 2 กันยายน 2558)
สำหรับกองทุน SCBGHC มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ Janus Global Life Sciences Fund (กองทุนหลัก) เป็นกองทุนที่มีการบริหารเชิงรุก โดย Janus Capital Management LLC จดทะเบียนภายใต้กฎหมายของประเทศไอร์แลนด์และอยู่ภายใต้ UCITS ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences) ได้แก่ บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลตัวเอง การแพทย์หรือเภสัชกรรม รวมไปถึงบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตหลักมาจากผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี การจดสิทธิบัตร หรือตลาดอื่นใดที่ได้รับประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ชีวภาพ
ปัจจุบันกองทุนหลักมีจำนวนหลักทรัพย์ในพอร์ตประมาณ 70-100 ตัว กระจายไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยที่เกี่ยวข้องในหลากหลายมูลค่าตลาด เช่น ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ยาและเภสัชกรรม บริการด้านสาธารณสุข และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น
"ภาพรวมกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์มีการปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มย่อยที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตราการล็อกดาวน์ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนกลุ่มที่ปรับตัวสูงสุดคือกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ประกอบกับการเพิ่มทุนที่สำเร็จในบางบริษัท ส่งผลให้มีผลดำเนินงานที่ดีติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า ความกดดันด้านการเมืองที่มาพร้อมการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่จากคำสั่งพิเศษ (Executive Orders) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการปรับราคายาในสหรัฐฯ แต่นักวิเคราะห์ต่างก็มองว่า Executive Orders เรื่องราคายา มีความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้นจริง เนื่องจากไม่ได้การสนับสนุนจากทั้งสองฝ่ายพรรคการเมือง และทั่วโลกยังคงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาอุตสาหกรรม Biopharmaceutical ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นอย่างมากเพื่อให้วิกฤตินี้จบลง"นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว