นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บล. เคทีบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ของ บมจ. เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น (KK) เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 0.88 บาท/หุ้น โดยเสนอขายในวันที่ 29 ก.ย.2563 ถึง 1 ต.ค. 2563 และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 ต.ค.นี้
KK มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 69 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ และเสนอขายหุ้นสามัญส่วนเกินอีกจำนวน 10.35 ล้านหุ้น
วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเตรียมนำเงินไปใช้ในการขยายร้านสาขาเคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายรัฐชัย กล่าวว่า ราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของเคแอนด์เคฯ ได้กำหนดราคาที่ 0.88 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 14.02 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
"การกำหนดราคาขายหุ้น IPO ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจาก KK มีจุดแข็งตรงที่เป็น Modern-Traditional Trade จำนวน 28 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดสงขลา พัทลุง และสตูล ทำเลที่ตั้งทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทำให้สร้างรายได้และกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 27 ปี และในอนาคตธุรกิจมีโอกาสเติบโตจากมาตรการภาครัฐที่กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนในพื้นที่ และจากการโรดโชว์ให้กับนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมาก นักลงทุนให้การตอบรับอย่างล้นหลาม จึงทำให้มั่นใจว่าหุ้น KK จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก และจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนด้วยเช่นกัน"นายรัฐชัย กล่าว
การเสนอขายหุ้น IPO ของเคแอนด์เคฯ มีบล.เคทีบี (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น และมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 2 แห่ง ประกอบด้วยบล.คันทรี่ กรุ๊ป และบล.โกลเบล็ก
ด้านนายกวิศพงษ์ สิริธนนนท์สกุล กรรมการผู้จัดการ ของเคแอนด์เคฯ กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการขยายร้านสาขา เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับแผนขยายร้านสาขาอย่างต่อเนื่องจำนวน 3-4 สาขาในแต่ละปี โดยมุ่งเน้นเปิดร้านสาขาในพื้นที่จังหวัดสงขลา พัทลุง สตูล และจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ เพื่อมุ่งสู่การเป็นร้านสะดวกซื้อชั้นนำในภาคใต้ และเป็นร้านค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคอันดับแรก ๆ ที่ผู้บริโภคนึกถึง เพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการขายปลีกให้เป็น 90% จากปัจจุบันที่ 84% เพื่อที่จะสามารถขายสินค้าและมีมาร์จิ้นที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นระดับ 3-5% ในอนาคตจากราว 1.4% ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การขยายสาขาในพื้นที่ภาคใต้ ต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ เนื่องจากจำนวนประชากรที่ไม่สูงมาก แต่ก็มีรายได้ต่อหัวของประชากรที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าจำเป็นในการดำรงชีวิตจึงเชื่อว่าจะยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหลังจากนี้
"ที่เราเลือกมาจดทะเบียนในตลาดหุ้น ก็เพื่อที่จะเป็นการขยายธุรกิจแบบยั่งยืน ลบความเป็นธุรกิจครอบครัวออกไป และทำให้ทุกคนที่เป็นผู้ถือหุ้นเพิ่มศักยภาพในการทำงานของบริษัทมากขึ้นเพราะมีส่วนร่วมในบริษัททุกคน เราก็อยากจะฝากให้นักลงทุนดูแลธุรกิจ SME ที่มาจากต่างจังหวัดแบบเรา ซึ่งเรายังมีศักยภาพในการขยายสาขารวมได้สูงถึง 40 สาขา จากศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่งที่มีอยู่"นายกวิศพงษ์ กล่าว