โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) จากแนวโน้มภาครัฐเร่งลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทำให้มีโอกาสเข้ารับงานได้มากขึ้น ขณะที่ลุ้นรัฐผ่อนคลายล็อกดาวน์เพิ่มจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่ยังอยู่ระดับดี ช่วยหนุนให้มีแรงงานต่างชาติกลับเข้ามาเดินหน้าโครงการได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน SEAFCO ยังมีงานในมือ (Backlog) เตรียมทยอยรับรู้เป็นรายได้ราว 2.1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นงานจากทั้งภาครัฐและเอกชน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากงานใหม่ ๆ หนุนผลประกอบการปี 64 ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้
พักเที่ยงราคาหุ้น SEAFCO อยู่ที่ 5.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือ 3% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 1.23%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 7.80 ทิสโก้ ซื้อ 8.00 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 7.10 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อเก็งกำไร 7.45
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า SEAFCO ถือเป็นผู้นำในกลุ่มงานฐานราก มีโอกาสสูงที่จะรับงานจากโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ เช่น งานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยายที่อยู่ระหว่างประมูลคาดได้ชื่อกลุ่มผู้รับเหมาขนาดใหญ่ในช่วงปลายปี 63 ซึ่ง SEAFCO มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มผู้ประกอบการหลายราย ทำให้มีโอกาสรับงานฐานะ Sub-Contract ในส่วนของงานฐานรากและงานกำแพงกันดิน คาดว่าจะได้รับงานทั้งปีไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งนับจาก ม.ค-มิ.ย มีการรับงานใหม่แล้ว 50% หรือ 1.5 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน SEAFCO มีงานในมือเตรียมรับรู้รายได้ 2.1 พันล้านบาท มาจากงานก่อสร้างทั้งเสาเข็มและกำแพงกันดิน โดยมีทั้งงานภาครัฐและเอกชน ทั้งงานโรงแรม ศูนย์การค้า รวมถึงงานจากหน่วยงานรัฐบาล เช่น โครงการอาคารสำนักงานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ทั้งนี้ SEAFCO น่าจะได้รับงานใหม่ตามคาด ซึ่งจะทำให้มีงานในมือรองรับรายได้สำหรับปี 64 ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท
นอกจากนี้ SEAFCO ยังคงได้รับงานใหม่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ทั้งจากกลุ่มลูกค้าภาคเอกชน รวมถึงการเป็น Sub-Contract ในการรับงานโครงการขนาดใหญ่ผ่านกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีทั้งรายได้และมาร์จิ้น โดยเฉพาะกลุ่มงานรถไฟฟ้าที่ SEAFCO มีประวัติการรับงานอย่างต่อเนื่อง โดยนอกเหนือความคืบหน้ารถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย ก็ยังมีงานที่คาดเห็นความคืบหน้าเพิ่มคือรถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยายด้วย
"ภาพรวมของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างจะดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความนิ่งของการเมืองภายในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา 14 ตุลาคมก็คงยังไม่มีอะไร แต่ทั้งนี้ต้องดูถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐว่าจะมีตัวเลขการเบิกจ่ายงบประมาณรอบใหม่อย่างไรบ้าง ซึ่งจะต้องติดตามประกาศในช่วงสิ้นเดือนนี้" นายเผดิมภพ กล่าว
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่าการดำเนินธุรกิจของ SEAFCO จะดีขึ้นในไตรมาส 4/63 จากงานในมือที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ ๆ และด้วยการเปิดตัวแผนการประมูลหาเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ใหม่จะหนุนการเติบโตในปีหน้า หลังจากแรงงานต่างชาติที่ยังไม่สามารถกลับมาทำงานได้จะยังกดดันผลประกอบการในไตรมาส 3/63 ต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ทำให้รายได้และอัตรากำไรขั้นต้นจะยังคงที่เมื่อเทียบต่อไตรมาส ทำให้ปรับลดประมาณการ พร้อมปรับลดมูลค่าที่เหมาะสมเป็น 8 บาทจากเดิมที่ 8.40 บาท
ปัจจุบัน SEAFCO มีงานในมือ 2.1 พันล้านบาท แต่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากงานใหม่ ๆ เช่น ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง, สนามบินอู่ตะเภา, MRT สายสีส้มและม่วง, รถไฟทางคู่ ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการปี 64 และคาดว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นหลังมีการคลายล็อกดาวน์ในเฟสที่ 6 ทำให้แรงงานต่างด้าวกลับมาทำงานได้
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินกำไรของ SEAFCO ในปี 64 ปรับตัวดีขึ้น 10% จากปีนี้ จากความหวังการเร่งผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ การลงทุนภาคเอกชนที่ทยอยฟื้น และปัญหาขาดแคลนแรงงานที่คลี่คลายขึ้น โดย โครงการที่คาดจะมีการเปิดประมูลเร็ว ๆ นี้ ได้แก่รถไฟฟ้าสายสีส้ม มีกำหนดยื่นซอง 6 พ.ย. และโครงการสายสีม่วงใต้ และรถไฟทางคู่อย่างน้อย 2 เส้นทางคาดเปิดประมูลในไตรมาส 1/64
ทั้งนี้ คงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ SEAFCO แต่ปรับลดราคาเป้าหมายลงเป็น 7.10 บาท จากเดิมที่ 8.10 บาท หลังมาร์จิ้นยังได้รับแรงกดดันต่อจากการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่มีงานประมูลออกมาน้อยลง นอกจากนี้ SEAFCO คาดรายได้ปี 63 จะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดขยายตัว 10% จากปีก่อนเป็นผลจากปัญหาแรงงานต่างด้าวที่มีการกลับประเทศ
อย่างไรก็ตาม มองว่าโอกาสในการรับงานใหม่ของ SEAFCO โดยเฉพาะในปี 64 ยังมีสูง ตามการเร่งผลักดันการลงทุนภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนที่ทยอยฟื้นตัว สำหรับโครงการสายสีส้มตะวันตกและสีม่วงใต้ ประเมินเบื้องต้นหาก SEAFCO ได้รับงานดังกล่าวจะเป็น upside ต่อราคาเป้าหมาย 0.40 บาท/หุ้น ภายใต้สมมติฐานงานก่อสร้างรวม 3.1 พันล้านบาท หรือราว 2% ของมูลค่างานทั้งหมด ระยะเวลาก่อสร้าง 1.5 ปี โดยมีอัตรากำไรสุทธิประมาณ 10%